เป็นอีกหนึ่ง “เน็ตไอดอลสาวคนดัง” ที่มีแฟนคลับติดตามล้นหลาม…กับ “สาวสายปั่น-สาวสายถีบ” ที่ชื่อ “มัดหมี่-กันต์ชนิต กิตติรัตนไพบูลย์” ด้วยหน้าตาและบุคลิกที่น่ารัก สดใส ทำให้เธอคนนี้กลายเป็นอีกหนึ่ง “ขวัญใจวงการจักรยาน” ที่เธอบอกกับ “ทีมวิถีชีวิต” ว่า…โลกหลังอานจักรยานได้เปลี่ยนชีวิตเธอ จากคนที่ไม่เคยคิดออกกำลังกาย ก็กลายมาเป็นคนรักสุขภาพ ที่สำคัญเพราะจักรยานนี้ยังทำให้เธอได้พบความรักอีกด้วย ซึ่งวันนี้เรามีเรื่องราวชีวิตของสาวคนนี้มานำเสนอกัน… 

“มัดหมี่-กันต์ชนิต” สาวเจ้าของเฟซบุ๊กเพจ สายถีบหวานเย็น ที่กลายเป็น “ฉายา” ของเธอด้วย บอกเล่ากับ “ทีมวิถีชีวิต” ว่า…ปัจจุบันอายุ 27 ปี มีอาชีพเป็นคอนเทนครีเอเตอร์ ทำงานในเอเจนซี่โฆษณาแห่งหนึ่ง โดยเธอเรียนจบคณะนิเทศศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเธอรู้สึกดีใจที่ได้ทำงานตรงกับสายที่เรียนมา สำหรับประวัติครอบครัวนั้น มัดหมี่บอกว่า เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของ คุณพ่อ-นพ.อดินันท์  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ และ คุณแม่-อัจนา  โดยเธอมีน้องชาย 1 คน ทั้งนี้ มัดหมี่บอกว่า ถึงแม้ที่บ้านจะเป็นครอบครัวคุณหมอ แต่คุณพ่อก็ไม่เคยปลูกฝังหรือบังคับลูกให้เรียนหมอเลย โดยคุณพ่อจะให้ลูก ๆ ค้นหาเป้าหมายและความฝันในชีวิตด้วยตัวเองให้เจอว่าชอบอะไร ส่วน “เส้นทางสายจักรยาน” นั้น มัดหมี่เล่าย้อนตั้งแต่ก่อนจะมีเพจชื่อ “สายถีบหวานเย็น” ว่าจุดเริ่มต้นมาจากช่วงโควิด-19 ที่ทำงาน WFH จนมีเวลาว่างมากขึ้น ซึ่งด้วยการมีเวลาว่างมากขึ้นนี้เองมีอยู่วันหนึ่งเธอจึงคิดอยากหาอะไรทำ จึงไปที่สนามเจริญสุขมงคลจิต ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน เพราะที่นี่มีลู่ปั่นจักรยาน เธอจึงตัดสินใจไปเช่าจักรยานปั่นเล่นเพราะคิดว่าบรรยากาศคง จะเหมือนปั่นเล่นชิล ชิล เหมือนกับที่สวนรถไฟ ปรากฏตรงกันข้ามกับที่เธอคิด เพราะที่สนามปั่นนี้ใหญ่มากกว่าเยอะ แถมทุกคนที่มาปั่นยังเป็นสายปั่นจริงจังอีกด้วย

กับน้องชาย คุณแม่ คุณพ่อ

พอเห็นก็ตกใจ เพราะไม่ตรงกับภาพในหัวที่คิดไว้เลยค่ะ (หัวเราะ) เพราะมันใหญ่มาก (เน้นเสียงยาว) โดย 1 รอบปั่นคือระยะทาง 23.5 กิโลเมตร ทำเอาเหนื่อยสุด ๆ เพราะปกติมัดหมี่ไม่ใช่คนที่ออกกำลังกายอะไร แต่เป็นสายหมูกระทะมากกว่า (หัวเราะ) โดยระหว่างที่หยุดพักเหนื่อย ก็เริ่มมองบรรยากาศรอบข้าง จนรู้สึกว่า เฮ้ย!…ทำไมวิวสวยจัง ทำให้เราเพลิน จนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้จะปั่นมาแล้วเป็นชั่วโมงก็ตาม ทำให้จากนั้นพอมีเวลาว่างก็จะมาอีกอยู่เรื่อย ๆ แต่ยังไม่ได้ซื้อจักรยานเป็นของตัวเอง อาศัยเช่าที่สนามปั่นอยู่ในช่วงแรก จนสุดท้ายตัดสินใจถอยจักรยานมาเป็นของตัวเอง เพราะจักรยานที่เช่านั้นไม่ค่อยเหมาะกับรูปร่างของเรา และอีกเหตุผลที่ซื้อก็คือ เราคิดว่าจักรยานน่าจะมีประโยชน์ ถ้าไม่เอาไปปั่นในสนาม ก็เอามาใช้ซื้อกับข้าวก็ยังดี สาวไอดอลคนดังเล่าเรื่องนี้อย่างอารมณ์ดี

ทั้งนี้หลังจากได้ถอยจักรยานคันแรกในชีวิตแล้ว จากนั้นแอคเซสเซอรี่ต่าง ๆ ก็เริ่มงอกตามมา ซึ่งส่วนตัวเธอก็ยังอดแปลกใจตัวเองไม่ได้ เพราะปกติไม่ใช่สายออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเลย แต่ก็สามารถใช้เวลากับการขี่จักรยานได้แบบไม่รู้สึกเบื่อ จนได้ข้อสรุปให้ตัวเองว่า เธอคง “หลงรักโลกของจักรยานเข้าให้แล้ว” ซึ่ง มัดหมี่ เล่าว่า ความหลงรักจักรยานนี้ทำให้เกิดไอเดียที่อยากจะแชร์ความคิดนี้ให้กับคนอื่น ๆ ในโลกโซเชียล จึงเปิดเฟซบุ๊กเพจขึ้นมาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เธอรู้สึกหรือพบมา เช่น ตอนที่เลือกซื้อรองเท้าปั่นจักรยานคู่แรก หรือตอนที่ประสบอุบัติเหตุ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเพื่อน ๆ สายจักรยาน โดยแฟนคลับที่เข้ามาติดตามเธอนั้น มัดหมี่บอกว่าต่างก็เติบโตไปพร้อมกัน ซึ่งบางคนก็ติดตามเธอมานับตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่เข้าสู่โลกของจักรยาน

ตอนแรกแค่ตั้งใจจะแชร์ประสบการณ์ แต่พอทำเพจได้สักระยะ ก็มีแรงบันดาลใจอยากให้เพจนี้เป็นชุมชนของคนขี่จักรยาน จึงทำให้มีเนื้อหาที่กว้างขึ้น ซึ่งตอนนี้ในเฟซบุ๊กเพจมีคนติดตามประมาณ 270,000 ส่วนไอจีมีคนตามอยู่ราว ๆ  70,000 กว่าคน และติ๊กต็อกที่เพิ่งทำได้ไม่นานนักมีอยู่ 40,000 กว่าคน พร้อมกันนี้เธอยังพูดถึง “ชื่อเพจ” ที่ตั้งว่า ตอนที่คิดหาชื่อเพจ เธอคิดว่าตัวเองไม่ใช่นักกีฬาหรือคนที่ออกกำลังกายหนักขนาดนั้น จึงไม่อยากให้เพจสื่อไปทางนั้นเกินไป เพราะดูไกลตัว  แต่อยากให้ออกแนวธรรมดา จึงตั้งชื่อให้ลิงก์ไปได้กับจักรยาน ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอต้องการสื่อสาร จึงเป็นที่มาของชื่อ สายถีบหวานเย็น ซึ่งเธออธิบายด้วยว่า ที่เลือกใช้คำว่า “ถีบ” โดยไม่ใช้คำว่า “ปั่น” เพราะสำหรับเธอคำว่าปั่นหมายถึงการควงขาจนครบรอบ ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ จึงใช้คำว่าถีบแทน เพราะเข้ากับเนื้อหาที่เธออยากสื่อสาร ขณะที่คำว่า “หวานเย็น” นั้นก็ตรงตัวเลย เพราะจุดประสงค์ในการขี่จักรยานของเธอก็คือเพื่อความสุข เพราะเธอไม่ใช่ “สายแข่ง” แต่เป็น “สายชิล”

ลุคแบ๊ว ๆ – ลุคนางแบบ

มัดหมี่-กันต์ชนิต เล่าอีกว่า เธอเองก็เคยเกิดอุบัติเหตุจากจักรยานเช่นกัน และมีครั้งหนึ่งที่เป็น “อุบัติเหตุใหญ่” โดยเกิดขึ้นช่วงปลายเดือน ธ.ค. 2565 จนเป็นอีก “จุดเปลี่ยนในชีวิต” ซึ่งตอนนั้นเธอไปร่วมงานแข่งจักรยานชนิดทีมแรลลี่ที่เชียงใหม่ และในช่วงทางลงเขา ที่มีเส้นทางคดโค้ง แถมพื้นถนนยังเป็นหินและกรวด ทำให้จักรยานที่เธอขี่เกิดอาการล้อสะบัดและไถลโดยควบคุมไม่ได้ จนทำให้จักรยานกระดอนกระเด้ง แล้วที่สุดก็พุ่งเหินเข้าข้างทาง แต่โชคดีที่เป็นรายการแข่งขัน ทำให้มีคนเข้ามาช่วยเหลือเธอเอาไว้ได้…

ตอนนั้นไม่มีอะไรแตกหัก โดยส่วนใหญ่จะเป็นแผลลึกที่ต้องเย็บมากกว่า แต่ไหปลาร้าเคลื่อนนิดหน่อย ซึ่งอุบัติเหตุใหญ่ครั้งนี้มันส่งผลกระทบถึงปัจจุบันกับมัดหมี่มาก ๆ ทำให้เรามีความระแวง จนหายดีแล้วก็ยังคงกลัวฝังใจอยู่ ทำให้ไม่กล้าที่จะไปปั่นใกล้กับใคร ไม่กล้าเลี้ยวโค้ง เพราะกลัวจะล้มอีก เหมือนความมั่นใจยังไม่กลับมา เรียกว่าตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ ความมั่นใจก็ยังกลับมาไม่เต็มร้อย สาว มัดหมี่ เจ้าของฉายา “สายถีบหวานเย็น” บอกเล่าไว้

ลุคนักถีบสายชิล

ก่อนจบการสนทนากัน “ทีมวิถีชีวิต” ถามถึงเรื่องที่อาจทำให้แฟนคลับหนุ่ม ๆ รู้สึกอกหัก นั่นคือ “เรื่องความรัก” โดย มัดหมี่-กันต์ชนิต ตอบว่า ปัจจุบันเธอ “มีคนครอบครองหัวใจแล้ว เป็นรุ่นพี่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับเธอ ซึ่งเธอและแฟนพบกันตอนที่ปั่นจักรยานนั่นเอง นอกจากนั้น เรายังถามเธอถึง ความฝันในอนาคต“ โดยเธอบอกว่า ตอนนี้มีความสุขกับงานที่ทำอยู่ และสนุกกับเพจที่ทำขึ้น แต่ก็วาดฝันไว้ว่า’อยากทำธุรกิจสักอย่างหนึ่ง“ ในอนาคต… โดยมีข้อแม้สำคัญ…นั่นก็คือ…

ต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่สนุก…และชอบ.

‘ไขปุจฉา’ ให้ ‘แฟนคลับสาว ๆ’

“มัดหมี่-กันต์ชนิต” สาวเจ้าของเพจ “สายถีบหวานเย็น” บอกว่า ตั้งแต่เปิดเพจมา เธอมักได้รับคำถามจาก “แฟนคลับสาว ๆ” โดยมักเป็น “ความกังวลใจ” เกี่ยวกับการขี่จักรยาน เช่น ขี่แล้วน่องโตมั้ย? ขี่แล้วปวดหลังมั้ย หรือไม่ก็ เวลานั่งบนอานจักรยานจะเจ็บก้น-เจ็บเป้ามั้ย?? ซึ่งเธอได้มีการทำคลิปอธิบายเพื่อคลายข้อกังวลเหล่านี้ให้แฟนคลับสาว ๆ อยู่เสมอ นอกจากนั้นก็มี “สายถีบมือใหม่” ที่มักเข้ามาขอให้ช่วยเลือกประเภทจักรยานให้ ซึ่งเธอเลือก “เสือหมอบ” เพราะตอบโจทย์คนกรุงเทพฯ ที่มักเน้นปั่นทางลาด และไปปั่นขึ้นเขาก็แค่เล็กน้อย พร้อมกันนี้เธอยังพูดถึง “ประโยชน์การขี่จักรยาน” ว่า เวลาถีบจักรยาน จะต้องใช้ประสาทสัมผัสเยอะ ต้องใช้สมองตลอดเวลา เหมือนเล่นเกม ทำให้ช่วยฝึกสมอง ใช้ฝึกสมาธิได้ดี อีกทั้งยังได้ร่างกายที่แข็งแรงมากขึ้น ซึ่งจากเดิมที่เราไม่ใช่คนที่ออกกำลังกาย ช่วงแรกที่มาปั่น จะปั่นได้ระยะทางที่ไม่ไกลมาก แต่ก็ค่อย ๆ เขยิบไปเรื่อย จากระยะ 20 กิโลเมตร ก็เพิ่มเป็น 30-40-50 กิโลเมตร จนตอนนี้เราสามารถปั่นไกลได้ที่ระยะ 100 กิโลเมตรแล้ว จนตัวเองยังอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้เลยค่ะ.

เชาวลี ชุมขำ : รายงาน