หากย้อนมองกลับไป 3 เดือนเศษ จากปลายเดือนเม.ย.-ส.ค. คงได้เห็นการบริหารงานของรัฐบาลในวิกฤติโควิดเช่นนี้ ทุกรูปแบบว่าเป็นเช่นไรบ้าง ไล่ตั้งแต่การตรวจคัดกรอง, สถานที่รักษาพยาบาลผู้ป่วย, ฉีดวัคซีน, การเยียวยา รวมไปถึงการวางแผนรับมือในอนาคต ฯลฯ ทั้งที่เราก็มีบทเรียนโควิดมาตั้งแต่ปี 63 ขณะเดียวกัน ทีมข่าว 1/4 Special Report ได้นำเสนอรายงาน มองจีนสยบโควิดสายพันธุ์เดลตา ซึ่งก็เป็นเชื้อกลายพันธุ์ตัวเดียวกับที่กำลังระบาดในไทย และเชื้อก็หลุดเข้าไปในจีนเช่นเดียวกันช่วงเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา แต่ด้วยทั้งมาตรการตรวจคัดกรองอย่างรวดเร็วเฉียบขาด (ตรวจทุกคน) พร้อมล็อกดาวน์เป็นโซน ๆ ควบคู่ตามมาด้วยอย่างเข้มข้น จนทำให้ก่อนจะสิ้นเดือน ส.ค. (วันที่ 12 ส.ค.) มีจำนวนผู้ป่วยโควิดรวม 1,282 ราย ในพื้นที่ 48 เมือง 18 มณฑล เรียกว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว
ฉีดวัคซีนแล้ว “1,900 ล้านโด๊ส”
สำหรับรายงานมองจีนสยบโควิดตอน 2 ทีมข่าว 1/4 Special Report ยังคงได้แลกเปลี่ยนข้อมูลพูดคุยกับ “ลู่ หยงเจียง” เจ้าหน้าที่ภาคภาษาไทย ศูนย์เอเชีย-แอฟริกา สถานีวิทยุและโทรทัศน์ส่วนกลางแห่งประเทศจีน (CMG) ซึ่งเคยเดินทางมาประจำอยู่ในประเทศไทย เปิดเผยว่า ในด้านการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนในจีนนั้น ข้อมูลจากวันที่ 12 ส.ค.64 จีนฉีดวัคซีนป้องกันโควิดทั่วประเทศแล้วรวมกว่า 1,900 ล้านโด๊ส โดยมีประชากรมากกว่า 777 ล้านคน ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โด๊สแล้ว ส่วนเด็กและเยาวชน อายุระหว่าง 12-17 ปีได้รับวัคซีนแล้วรวมกว่า 60 ล้านโด๊ส
นอกจากนี้มุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนของจีนสรุปได้ดังนี้ วัคซีนที่ใช้อยู่ในขณะนี้ยังคงมีบทบาทป้องกันการติดเชื้อโควิด ลดการติดเชื้อ ลดอาการป่วยจากหนักเป็นเบา และลดอัตราการเสียชีวิต แม้จะเผชิญกับสายพันธุ์เดลตาก็ตาม โดยวัคซีนหลักยังคงเป็นวัคซีนเชื้อตาย คือ ซิโนแวค และ ซิโนฟาร์ม ที่สำคัญยังไม่มีการฉีดข้ามประเภท นอกจากนี้ก็ยังไม่มีนโยบายให้ฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิในขณะนี้ เนื่องจากเรื่องดังกล่าวยังคงอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัยทั้งด้านความจำเป็น ความปลอดภัย และช่วงเวลาที่เหมาะสม
จากสถิติที่ประกาศโดยคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน ข้อมูล ณ วันที่ 13 ส.ค.64 จีนมียอดผู้ป่วยโรคโควิด-19 สะสมอยู่ที่ 94,326 ราย (รวมถึงผู้ป่วยจากต่างประเทศสะสม 7,845 ราย) โดยมีผู้ป่วยที่ยังรักษาตัว 1,907 ราย (ผู้ป่วยอาการหนัก 62 ราย) หายป่วยสะสม 87,783 ราย ผู้เสียชีวิตสะสม 4,636 ราย และเป็นเวลานานแล้วที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตสะสมในจีนยังคงที่อยู่ 4,636 ราย ถือเป็นการยืนยันว่าปัจจุบันจีนไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากการระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลตาระลอกใหม่ล่าสุดแม้แต่รายเดียว
หมอด่านหน้าจีนเปิดเคล็ดลับสำคัญ 3 ข้อ
ลู่ หยงเจียง ยังได้สะท้อนถึงข้อมูลว่า เหตุใดจีนถึงสามารถปราบโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาได้อยู่หมัด โดยทางผู้สื่อข่าวซีซีทีวี ได้สัมภาษณ์หนึ่งในหมอด่านหน้า นพ.ชิว ไห่โป แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉิน จากมณฑลเจียงซู ผู้ได้ร่วมต่อสู้กับโควิดใน 10 กว่าเมืองของจีน (รวมถึงเมืองอู่ฮั่นด้วย) เล่าประสบการณ์ว่า การระบาดระลอกล่าสุดนี้ เขาได้เข้าร่วมทีมรักษาผู้ป่วยโควิด ในโรงพยาบาลประชาชนที่ 3 เมืองหยางโจว มณฑลเจียงซู ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา และเห็นว่าสาเหตุที่จีนจัดการเรื่องโควิดได้ค่อนข้างดีนั้นเป็นเพราะมาตรการสำคัญ 3 ประการ ได้แก่
1. ล็อกเป้ากลุ่มคนที่ติดเชื้อโควิด ทั้งแสดงอาการและไม่แสดงอาการ ได้จากการลุยตรวจกรดนิวคลีอิกอย่างรวดเร็ว ทำให้ควบคุมต้นตอการแพร่ระบาดของเชื้อได้ 2. ดำเนินการล็อกดาวน์เขตชุมชนอย่างจริงจังและรวดเร็ว นำไปสู่การตัดห่วงโซ่การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด และ 3. สำหรับผู้ป่วยโรคโควิด จะส่งไปรักษาในโรงพยาบาลท้องถิ่นโดยเร็ว ควบคู่ไปกับการระดมกำลังบุคลากรทางการแพทย์จากทั่วประเทศ เพื่อดำเนินการรักษาช่วยเหลือผู้ป่วยให้ฟื้นฟูเป็นปกติ
นพ.ชิว ไห่โป ยังกล่าวด้วยว่า หลังผ่านการระบาดใหญ่ “ระลอกอู่ฮั่น” เป็นต้นมา จีนใช้เวลาสั้นลงเรื่อย ๆ ในการรับมือกับการระบาดระลอกใหม่แต่ละครั้ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการรวมพลังอันเข้มแข็งแห่งชาติจีนในการป้องกันควบคุมโรคระบาด อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อสุขภาพและชีวิตประชาชนของพรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลจีน โดยให้การรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ทุกรายฟรีอย่างเต็มกำลังความสามารถ ในส่วนของการระบาดโควิด “ระลอกหนานจิง” ครั้งนี้ เมืองหยางโจวเป็นพื้นที่มีสถานการณ์รุนแรงที่สุด ครองสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดจำนวนกว่า 1,280 ราย และสัดส่วนผู้ป่วยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปส่วนมากมีโรคประจำตัวมากถึง 40% จึงมีสัดส่วนผู้ป่วยอาการหนักมากกว่าเมืองอื่น ๆ อย่างชัดเจน
ในการรักษาช่วยเหลือผู้ป่วยโรคโควิดในเมืองหยางโจว ยึดหลัก 3 ประการคือ 1. ส่งผู้มีผลตรวจกรดนิวคลีอิกเป็นบวกไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ 2. ทำการประเมินอาการทั้งจากโรคติดเชื้อโควิดและโรคประจำตัวโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในทันทีที่ผู้ป่วยถูกส่งถึงโรงพยาบาล และ 3. ทำการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพและเร็วที่สุดทั้งโรคติดเชื้อโควิดและโรคประจำตัว ผลการรักษาซึ่งเน้นความเร็วได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามาตรการดังกล่าวได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เท่าที่ทราบ นับตั้งแต่มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เมื่อ
ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน มณฑลเจียงซู ยังสามารถรักษาสถิติตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 เป็นศูนย์ไว้ได้
การแพทย์แผนจีนช่วยรับมือครบวงจร
เป็นที่น่าสังเกตว่า การแพทย์แผนจีน นับวันถูกนำมาใช้รับมือกับโรคโควิดมากยิ่งขึ้นอย่างครบวงจร ทั้งด้านการป้องกัน การรักษาพยาบาล และการดูแลสุขภาพ เช่น ในการรับมือกับสถานการณ์โควิดของเมืองหนานจิง และเมืองหยางโจวครั้งนี้ อัตราการใช้แพทย์แผนจีนในการรักษาพยาบาลและฟื้นฟูสุขภาพสูงถึง 100% ครอบคลุมผู้ป่วยตั้งแต่วัยทารกแรกเกิด 4 เดือน จนถึงผู้สูงวัยอายุเกิน 90 ปี สถานพยาบาลในหลายพื้นที่ได้จัดคณะแพทย์แผนจีนและคณะแพทย์แผนตะวันตกรวม 2 คณะ ประสานงานกันอย่างครบวงจรในการรักษาช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด
ทั้งนี้ จงหนานซาน ผู้เชี่ยวชาญชื่อดังด้านโรคระบบทางเดินหายใจ และได้รับมอบรางวัลสูงสุดของจีน “เหรียญเกียรติภูมิแห่งสาธารณรัฐ” ด้วยผลงานอันโดดเด่น โดยเฉพาะผลงานด้านการป้องกันควบคุมโรคซาร์สและโควิด-19 ได้ให้ข้อมูลและแสดงมุมมองเกี่ยวกับเรื่องโควิดสายพันธุ์เดลตา เอาไว้ด้วยว่า ผลการศึกษาวิจัยการระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลตาพบว่า อัตราการคุ้มครอง โดยรวมในการรับมือกับเชื้อสายพันธุ์เดลตาของวัคซีนชนิดเชื้อตายของจีนนั้น อยู่ในระดับใกล้ 60% ส่วนอัตราการคุ้มครองผู้ป่วยอาการหนักอยู่ที่ระดับ 100% ซึ่งพิสูจน์ว่า ถึงแม้วัคซีนจีน เช่น วัคซีนซิโนแวคจะมีประสิทธิผลลดลงบ้างในการรับมือกับเชื้อสายพันธุ์เดลตา แต่ยังคงมีผลมากโดยข้อมูลล่าสุดยืนยันว่า การฉีดวัคซีนชนิดเชื้อตาย ’เข็มที่ 3“ ในเวลาห่างจากการฉีดวัคซีนชนิดเดียวกันแล้ว 2 โด๊ส ระดับแอนติบอดีจะเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า
เชื่อมั่นว่าจีนจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ เมื่อประชากรกว่า 80% ได้รับวัคซีนครบ คาดว่าจะบรรลุเป้าหมายได้ก่อนสิ้นปีนี้.