ตอนนี้มีข่าวชวนหัวแบบตลกร้ายเกิดขึ้นใกล้ๆ กันตลอด …ตลกร้ายที่ว่าคือ “มันทุเรศจนน่าขำ” แบบว่าจะแถสีข้างแถกถลอกไปเรื่อย  “ตัวตึง”ที่เป็นอีตัวต้นเรื่องก็มีอยู่สองอาชีพ คือ ตำรวจกับพระ ..จริงๆ พระควรจะเป็นสถานะ แต่เห็นบางคนบวชเพราะไม่มีอะไรกิน หากินกับงานสวดต่างๆ ทำพิธี กินอยู่กับเงินบริจาค ใช้เงินบริจาคเที่ยว ก็เลยอยากจะเรียกพระบางคนว่า “อาชีพ”แล้วกัน แต่อย่างไรก็ตาม พระสงฆ์โดยสถานะ วัตรปฏิบัติดีงามก็มีเยอะ   

ตำรวจนี่ทอปฟอร์มมาตั้งแต่ต้นปี ตั้งแต่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนออกมาโพสต์คลิปแนวๆ “เจ็ดพันก็เป็นวีไอพีได้” มีรีวิวถ่ายคลิปละเอียดยิบว่า ลงจากสนามบินจะไปพัทยา มีตำรวจแต่งเครื่องแบบขับรถเปิดหวอนำให้ ค่าอำนวยความสะดวกเจ็ดพัน ทำดีมีทิปให้สองร้อย ตำรวจยอมให้ถ่ายคลิปง่ายๆ ไม่รู้เพราะพูดจีนไม่ได้ว่าห้ามถ่ายคลิป , อยากถ่ายรูปกับคนสวย หรือโลกสวยไม่คิดว่านางหมวยจะนำไปเล่าออกสื่อ ก็เลยดังสนั่นกันทั้งเมืองไทย ว่าตำรวจรับจ๊อบอะไรแบบนี้ด้วย..แล้วเอาความเป็นตำรวจไปอำนวยความสะดวกแลกเงิน 7 พัน

ตร.ท่องเที่ยวยอมรับ คลิปนำขบวน VVIP ให้สาวจีน เป็นตำรวจจริง สั่งสอบด่วนแล้ว

พอดีอันนี้หลักฐานมัดแน่นเกิน แถว่าไม่มีๆๆ ไม่ได้ ก็แถหาทางลงไปเรื่อย จะว่าไม่ใช่รถหลวงบ้างล่ะ( แต่ทำไมใช้ไซเรนได้ ) จะว่านอกเวลาราชการบ้างล่ะ พอว่าแต่งชุดตำรวจ ก็แถว่าเป็นตำรวจต้องเป็นตลอดเวลา คือเห็นแล้วอยากเอาใจช่วยเลยว่า ..พยายามเข้านะ…เพราะยิ่งแถยิ่งตลก สุดท้ายก็สรุปว่า ต้องมีการตั้งกรรมการสอบตำรวจที่เกี่ยวข้อง แล้วถ้าตำรวจบอกว่า “ไม่ได้นิ่งนอนใจ”กับคดีไหน เตรียมดูไว้เลยพวกเรา ..เป่าแน่.. เหมือนคดี “บอส เป้าหมายมีไว้พุ่งชน” ซึ่งเป็นคดีที่ประหลาดที่สุดในโลก .. คนผิดเป็นหางว่าว เอาผิดคนชนไม่ได้  ตั้งกรรมการสอบทั้งในตำรวจ ทั้งใน ป.ป.ช. แล้วก็จบด้วยคำว่า “ไม่ได้นิ่งนอนใจ” กับ “เราต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย” บลาๆ ประวิงเวลาไปเรื่อย

ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก เมื่อเกิดกรณีดาราสาวไต้หวัน อันหยูชิง หรือ ชาลีน อัน โพสต์เตือนคนจะมาเที่ยวเมืองไทยให้ระวังตำรวจไถ เรื่องของเรื่องคืออันหยูชิงและเพื่อนๆ ไปเที่ยว ช่วงหลังตี 1  ก็ผ่านด่านแถวหน้าสถานทูตจีน แล้วก็โดนตรวจกระเป๋า เรียกหาพาสปอร์ต แต่เจ้าตัวไม่ได้พกมา จึงให้เพื่อนที่อยู่โรงแรมถ่ายรูปส่งมาให้ ..ปรากฏว่า อันหยูชิงเล่าว่า เพื่อนบอกว่าตำรวจจะเอาเงิน 27,000 บาท โดยตำรวจห้ามการบันทึกการกระทำของตำรวจ และลบภาพวีดิโอที่เพื่อนของอันหยูชิงบันทึกไว้ ( ตอนเป็นรถนำวีไอพีเจ็ดพันนี่ไม่ลบเนาะ )

ดาราสาวไต้หวัน อ้างถูก ตร.ไทยค้นตัว เรียกเงิน 27,000 บาท เตือน  นทท.อย่าพกเงินสดเยอะ

พอถูกประจาน ก็แถแถ่ดๆๆ แบบสีข้างแหกหนักกว่ากรณีตำรวจนำวีไอพีเจ็ดพัน ไปอ้างว่าเขาเมาโวยวายบ้าง หาพยานเป็นคนขับรถแกรบ  แถมที่อันหยูชิงไม่คาดคิด  ซึ่งเธอให้สัมภาษณ์ต่อบีบีซีไทย คือ “ไม่คิดว่าตำรวจนำบุหรี่ไฟฟ้ามายัดใส่มือแล้วถ่ายรูป” ซึ่งก็ได้ทีว่า จะยัดข้อหามีบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเหมือนทางเพื่อนๆ ของอันหยูชิงก็งง..คนไทยก็งง คือมันผิดกฎหมายแต่ก็รู้ว่าหาได้ที่ไหนแถวข้าวสาร, ห้วยขวาง หรือใครจะขายต้องส่งส่วยก็ไม่รู้ คือดูเจตนาเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ให้ขาย แล้วรอจับ ไม่อยากให้เรื่องเอิกเกริกก็เคลียร์กันดีกว่าถูกดำเนินคดี แบบนี้หรือเปล่า ?

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คือพยายามจะให้อันหยูชิงผิดให้ได้ ดูเหมือนเมาก็จะให้ผิดด้วย ..ในที่สุด นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ซึ่งตอนนี้คนให้ความเชื่อมั่นกว่าตำรวจแล้ว ต้องออกมาแฉหลักฐาน  โดยวันที่ 30 ม.ค. นายชูวิทย์ได้เผยแพร่วีดิโอคุยกับพยานคนสิงคโปร์เพื่อนของอันหยูชิง โดยนายชูวิทย์ระบุว่า ชายคนนี้ชื่อนายสกาย  ระบุว่า ที่ด่านตรวจคืนเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 4 นาย โดยมี 1 นาย ขู่พยานตลอด และยืนยันว่ามีการจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ทั้งหมด 27,000 บาท

นายสกายระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบถามพยานว่า ทำไมไม่เอาพาสปอร์ตออกมา และทำไมไม่มีวีซ่า นายสกายบอกว่า ที่ประเทศสิงคโปร์ไม่ต้องใช้วีซ่า และอยู่ไม่ถึง 30 วันไม่ต้องใช้วีซ่า และเขามาอยู่แค่ 2 อาทิตย์  นายสกายได้บอกเพื่อนให้ไปโรงแรมเพื่อไปเอาพาสปอร์ต แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าไปไม่ได้ นายสกายบอกตำรวจว่าเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไร แต่เจ้าหน้าที่ก็ระบุว่า พยานมีบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งพยานก็ยอมรับ ด้านพยานก็ตั้งคำถามกลับว่า “ที่ตลาดก็มีขาย แบบนี้จะผิดกว่าหรือไม่” นายสกายยังบอกด้วยว่า มีตำรวจกราดเกรี้ยวไปเรื่อย แถมห้ามคนในกลุ่มที่มี 4 คนคุยโทรศัพท์ อยู่ด่าน 1 ชม.

( บุหรี่ไฟฟ้าที่หาซื้อไม่ยากผิดกฎหมาย นี่สาธารณสุขจะออกกฎกระทรวงให้ยาบ้าสองเม็ดเป็นผู้ค้า ไม่อยากคิดเลยว่าจะมียัดยา เรียกค่าไม่ดำเนินคดีกันแค่ไหน )  

หลังจากแถแถ่ดๆ อยู่นาน ไม่ตอบคำถามกับสังคมเสียทีว่า “ไถเงินเขา 27,000 บาทจริงหรือไม่ ?” เลี่ยงไปหาข้อหาอื่นมาพยายามยัด แต่แถจนหลังพิงฝา  จนที่สุด บิ๊กจ้าว พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ก็ต้องออกแอคชั่นสั่ง พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรโณ ผู้กำกับ สน.ห้วยขวางเด้งมาที่ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 ( ศปก.บก.น.1 ) และเร่งให้มีการสอบสวนพยานต่างๆ ซึ่งบิ๊กเด่น พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( ผบ.ตร.)  ยืนยันว่าจะทำตรงไปตรงมาตามพยานหลักฐานใครผิดก็ว่าไปตามผิด ทั้งอาญาและวินัย ทางการปกครอง   ขอเวลาอีกสักระยะ เพื่อให้เกิดความแน่ชัดทุกอย่าง ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ยืนยันว่าจะทำอย่างตรงไปตรงมาแน่นอน คนผิดก็ต้องถูกลงโทษ

เปิดประวัติ 'บิ๊กจ้าว' พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้ครองนามเรียกขาน 'น.1' คนใหม่  | เดลินิวส์

ถึงตรงนี้ หลายคนก็คงกำลังเลือกจะแทงข้าง รอให้เรื่องเงียบ หรือออกมาแบบโทษเบา ไม่มีความผิด เป็นความเข้าใจผิด หรือผิดว่าตำรวจรับสินบนไม่จับกุมกรณีมีบุหรี่ไฟฟ้า แต่ไม่ได้มีกรณีกรรโชกทรัพย์ ..ก็ขอให้รีบๆ ทำแล้วกัน คนจับตามองมาก กระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศและการท่องเที่ยวอย่างรุนแรง ยิ่งจีนกับไต้หวันนักท่องเที่ยวเยอะ ( ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าคนโดนเป็นจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งชาตินิยมมาก จะสร้างกระแสบอยคอตไทยแค่ไหน )  ..แต่ถามว่า ย้ายเข้า ศปก. นี่ไปทำอะไร ก็ไม่อะไรมาก เหมือนไปพักร้อน เงินเดือนก็ได้ แบบว่าแทบจะไม่มีผลอะไร แต่ทางสายตำรวจเขาว่า มันจะส่งผลกระทบกรณีแต่งตั้งโยกย้าย ถ้ามีประวัติว่าเคยถูกสั่งเด้งก็อาจลำบากหน่อย ที่จะได้รับการพิจารณา

ส่วนเรื่องด่านไถนั้น บิ๊กเด่นจะแก้ปัญหาโดยเตรียมการวางระบบเพิ่มเติมในการตั้งจุดตรวจให้มีมาตรฐานโปร่งใส ตรวจสอบได้  และส่วน ผกก.สน.ห้วยขวางนั้น หากคุมลูกน้องไม่ดี รอง ผกก.ผกก.ควบคุมไม่ดีแล้ว รองผกก.ป และ สวป. ก็จะต้องโดนด้วย  แต่ถึงกับต้องให้ย้ายบิ๊กจ้าว ผบช.น.นั้น ตามข้อเท็จจริงการตั้งจุดตรวจมันเป็นระดับข้างล่าง  ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบในการควบคุมกำกับดูแลคือสารวัตร และรองผู้กำกับ แต่คงไม่ถึง ผบช.น. พร้อมทั้งนี้บิ๊กเด่นยังขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า ตำรวจในฐานะผู้รักษากฎหมายทำผิด ต้องลงโทษจริงจัง และตำรวจดีๆ มีเยอะ

ล่าสุด  พล.ต.ต. อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 สั่งสอบตำรวจที่ตั้งด่านหน้าสถานทูตจีนในวันที่เกิดเรื่อง ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ ศปก.บก.น.1 โดยขาดจากตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ ตามที่ ผบก.น. 1 มอบหมาย ประกอบด้วย ร.ต.อ. ยอดฤทธิ์ ลางดุลเสน รอง สวป.สน.ห้วยขวาง , ร.ต.อ. ปฏิภาณ ศิริชัยวัฒนา รองสว.อก.สน.ห้วยขวาง , ดต.อธิเวช จุลพันธ์, ด.ต.กฤษฎา คำมะนา, ส.ต.อ.เฉลิมชัย ศิริวังโส ,ส.ต.อ.วัชรนนท์ ขาวยอง ผบ.หมู่ (ป) สน.ห้วยขวางและส.ต.อ. นันทวัชร์ สุวรรณา ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ผู้ช่วยพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง ก็รอดูไปว่าจะแจ้งข้อหาอะไรบ้าง

มีคนเสนอความเห็นว่า “คนกันเองสอบกันเอง ก็ดึงเช็งหรือช่วย” ดังนั้น การสอบสวนอะไรแบบนี้ควรจะมีองค์กรอิสระอื่นมาตรวจสอบ รายนี้เขายังเสนอความเห็นว่า ในฐานะที่เป็นผู้รักษากฎหมาย ถ้าเอากฎหมายมาหาประโยชน์เสียเองต้องประจานให้อับอาย เช่น โดนโทษเอาหวายทวนหลังต่อหน้าธารกำนัล ( สิงคโปร์ก็มีโทษโบย อย่าว่าเชย ) ..เชื่อสิ อาชีพ ตำแหน่งที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย จะคิดว่าอาชีพตัวเองมีเกียรติ การทำให้อับอายเป็นวิธีหนึ่งที่ใช้จัดการได้

แค่เขียนเรื่องตำรวจก็ตลกแล้ว…มาเรื่องพระ …ช่วงนี้ “แพรี่”อดีตพระไพรวัลย์ วรรณบุตรนางทอปฟอร์มมากในการเอาโล้นห่มเหลืองมาแฉ เห็นศัพท์แปลกๆ ฉันงูบ้าง ตอกเสาเข็มบ้าง ฉันปลาดุกบ้าง ถวายบัวบ้าง ฉันบวบบ้าง ก็เลยรู้ว่าในวัดบางที่มันมั่วกันขนาดไหน ..มีคนรู้จักรับงานนวดอย่างว่าเขาเล่าให้ฟังว่า มีพระสงฆ์เรียกไปนวด..แบบนั้นแหละ ที่มันเปิดประตูลมให้น้ำเดินสะดวกน่ะ.. แล้วแต่ตกลงกันว่าใครตอกใครไม่ตอก ..บางคนก็ยอมรับงาน บางคนก็ไม่รับแบบรู้สึกทุเรศว่ามาทำกันในศาสนสถาน ..นี่กรณีผู้ชายกับพระเกย์  พระชายกับสีกาก็อีกเยอะแยะ

ทนายความ "แพรรี่" บอก งานนี้เดิมพันด้วยใบอนุญาตว่าความ สู้กลับคดีทนาย

ความเป็นพระน่านับถือตรงวัตรปฏิบัติอันดีงาม ไม่ใช่ไปเที่ยวขี่บานานาโบทเล่น หรือกลางคืนถอดผ้าเหลืองแต่งชุดไปเที่ยวผับบาร์ ถ้าไม่สามารถคุมกำหนัดตัวเองได้ ก็แนะนำให้ไปปลงอสุภซากในป่าช้า ว่า รูปกายที่ชวนหลงใหลสุดท้ายมันก็แค่นี้ อนิจจัง วัฏสังขารา แค่เรื่องพระกำหนัดก็เห็นจะเขียนกันยาว ทั้งที่นอกจากเรื่องนี้มีอะไรให้เขียนเยอะแยะ แต่ขอเขียนถึงแค่นี้ก่อน

อย่างไรก็ตาม ควรจะคิดเรื่องรับมือ หรือจัดการ “ตัวตึง”พวกนี้ให้ดีๆ เพราะตำรวจคุมกฎหมาย พระคุมศรัทธา มันมีผลต่อสังคมทั้งสิ้น

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”