ภายหลังจาก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ได้มีการเผยแพร่วิดีโอ ความยาวกว่า 11.33 นาที พร้อมใส่คำบรรยายวิดีโอว่า “คุยกับพยานคนสิงคโปร์ เพื่อนดาราสาวไต้หวัน ไม่คิดว่าจะเจอด่านตำรวจรีดไถแบบนี้ ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ” นอกจากนี้ยังอัดคลิปยกมือไหว้กล่าวขอโทษดาราสาวชาวไต้หวัน “อันยู๋ชิง” พร้อมเรียกร้องให้ ผบช.น. ผบ.ตร. และนายกฯ ออกมากล่าวคำขอโทษ พร้อมกับคืนเงิน เพราะภาพลักษณ์ประเทศเสียหายรุนแรง ตามที่ได้เสนอไปแล้วนั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ม.ค. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า ขณะนี้รอรับฟังผลการสอบสวนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) อยู่ เพื่อให้เกิดความชัดเจนทุกอย่าง ซึ่งเมื่อวานนี้ (30 ม.ค.) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผบช.น. ได้มีคำสั่งให้ ผกก.สน.ห้วยขวาง มาปฏิบัติราชการที่ ศปก.ไปแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งให้มีการสอบสวนพยานต่างๆ ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนของ บช.น. ก็ทำงานอยู่ ยืนยันว่าจะทำตรงไปตรงมาตามพยานหลักฐานใครผิดก็ว่าไปตามผิด ทั้งอาญาและวินัย ทางการปกครองเราก็จะดูว่าใครบกพร่องอะไรบ้าง ทั้งนี้ในการตั้งด่านในวันนั้นมีคนจำนวนมาก จะดูให้เกิดความชัดเจนในทุกๆคน ให้เกิดความเป็นธรรมว่าใครผิดใครบกพร่องอะไรบ้าง ขอเวลาอีกสักระยะ เพื่อให้เกิดความแน่ชัดทุกอย่าง ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ยืนยันว่าจะทำอย่างตรงไปตรงมาแน่นอน คนผิดก็ต้องถูกลงโทษ
ผบ.ตร. กล่าวว่า เรื่องพยานทางตำรวจก็ยินดี ซึ่งอยู่ระหว่างการประสานงานที่จะนำมาสอบสวน ถึงแม้เขาเกรงจะไม่ปลอดภัยยังไม่มาเมืองไทย หรือจะมา ทางตำรวจยินดีที่จะให้มาสอบสวน สมมติถ้าเขาไม่มาทางตำรวจก็จะเดินทางไปสอบสวนเพื่อให้รู้ความจริงทุกอย่างให้ได้ เพื่อให้ปรากฏให้ชัดเจนว่าใครผิดบ้าง ใครบกพร่องบ้าง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการแต่ขอเวลาสักระยะหนึ่ง โดยเรื่องนี้ตนได้เข้ามาควบคุมกำกับดูแลด้วยตนเอง
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า ประชาชนต้องคาดหวังผู้บังคับใช้กฎหมายอยู่แล้ว ยืนยันว่าเราจะต้องทำให้ดีที่สุดตอนนี้ได้เตรียมการวางระบบเพิ่มเติมในการตั้งจุดตรวจให้มีมาตรฐานโปร่งใส ตรวจสอบได้ ซึ่งจะนำเรื่องนี้มาดูให้เกิดความรอบคอบในอนาคตต่อไป ส่วนเรื่องของวินัยจะต้องดูว่าใครผิดบ้างมีความบกพร่อง ส่วนเรื่องอาญาก็เป็นอีกส่วนหนึ่งใครผิดบ้าง วินัยกับอาญา อาจไม่เท่ากัน เช่น อาญาจะโดนกี่คนที่เกี่ยวข้องจริงๆ ส่วนวินัยคือความบกพร่องในการควบคุมดูแลตามสายงานต่างๆ จะต้องมีความรับผิดชอบด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า การไม่ดำเนินคดีเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า จะเข้าข่ายความผิดกับชุดจับกุมวันนั้นหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า ผบช.น ได้พูดตอบประเด็นนี้ไปบ้างแล้ว ตนขอให้รอความชัดเจนไปในทิศทางเดียวกัน ขอให้รอผลจากคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมา ขณะนี้ได้มีการดำเนินคดีทางอาญาไปแล้ว และมีคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วย
เมื่อถามถึงประเด็นการย้าย ผกก.สน.ห้วยขวาง สะท้อนอะไรหรือไม่ในเรื่องข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนหนึ่งแสดงว่ามีความบกพร่องเกิดขึ้น จึงได้มีคำสั่งให้มาช่วยราชการที่ ศปก.ก่อน หาก ผกก.ควบคุมไม่ดีแล้ว รอง ผกก.ป และ สวป. ก็จะต้องโดนด้วย
รู้สึกละอาย! ‘ชูวิทย์’ ยกมือไหว้ขอโทษ ‘อันยู๋ชิง’ ถามซ้ำ ‘ผบช.น.’ ปกป้องแค่ตัวเองเท่านั้น?
เมื่อถามว่า กรณีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กดดันให้ย้าย ผบช.น.นั้น ผบ.ตร. กล่าวว่า ก็ต้องว่าตามข้อเท็จจริงเพราะเรื่องการกระทำความผิดในกรณีการตั้งจุดตรวจคงจะเป็นระดับข้างล่าง จริงๆเรามีคำสั่งการกำกับดูแลไว้ส่วนหนึ่งว่า ผู้บังคับบัญชา 2 ระดับจากผู้ที่กระทำผิดขึ้นมา เช่น หัวหน้าด่านคือรองสารวัตร ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบในการควบคุมกำกับดูแลคือสารวัตร และรองผู้กำกับ แต่เมื่อคดีนี้เป็นคดีที่เกี่ยวพันกับเรื่องหลายๆเรื่อง และเป็นเรื่องที่ได้มีการกำชับไว้แล้วในเรื่องการตั้งด่านตรวจหรือจุดตรวจ ต้องมีมาตรฐาน หัวหน้าสถานีก็หนีไม่พ้นความรับผิดชอบ จึงต้องเอาถึงหัวหน้าสถานี แต่ถึงผู้บัญชาการตำรวจนครบาลหรือไม่ ตนมองว่าคงไม่ถึงขนาดนั้นต้องให้ความเป็นธรรมท่านด้วย
เมื่อถามถึงกรณีที่ผู้บังคับบัญชาถูกลูกน้องปิดบังข้อเท็จจริง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า โดยหลักการผู้ที่ทำความผิดมักจะไม่ยอมรับ เราก็เห็นอยู่สม่ำเสมออยู่แล้ว แต่เราในฐานะผู้บังคับบัญชาก็ต้องค้นหาความจริงนี้ให้ได้
“ผมได้ให้นโยบายไปหมดแล้วว่า แม้กระทั่งพยานหรือผู้เสียหายต่างๆ หากอยู่ต่างประเทศแต่เนื่องจากเป็นเรื่องที่น่าสนใจเราก็ต้องเดินทางไป ซึ่งได้มุ่งไปที่พยาน หรือคนที่มีการจ่ายเงินก่อนที่ทราบว่าอยู่ที่สิงคโปร์ โดยผมได้ให้นโยบายว่า ต้องพยายามรีบหาความจริงให้ปรากฏให้เร็วที่สุด” ผบ.ตร. กล่าว
เมื่อถามว่า หากตำรวจไปถึงต่างประเทศแล้วพยานไม่อยากให้ความร่วมมือพูดคุยกับตำรวจไทย แต่ให้พูดคุยผ่านคนกลางอย่างตำรวจสากล จะยินดีที่จะดำเนินการตามนั้นหรือไม่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า ยินดีหมด อะไรที่สามารถได้ข้อมูลมาเพิ่มเติมให้เกิดความชัดเจน เราก็ยินดีหมด รวมถึงการสอบพยานสาวไต้หวันด้วย
เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของตำรวจค่อนข้างจะมีภาพลบ การสร้างภาพลักษณ์หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ผบ.ตร. กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นช่วงการแต่งตั้งโยกย้าย หลังจากเข้าไปรับตำแหน่งใหม่แล้ว ก็คงจะมีการประชุมและกำชับอีกที มีมาตราการที่เข้มข้นขึ้น ควบคุมกำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชา เอาให้จริงจังเราต้องโปร่งใสมากขึ้น เราต้องพยายามใช้กล้องในการทำงานให้ได้เร็วที่สุด เพราะว่าตอนนี้เรามีกล้องอยู่จำนวนหนึ่งแล้ว กล้องอาจจะไม่ครบแต่เราได้ของบประมาณเพิ่มเติมแล้ว เพื่อให้ซื้อกล้องในการทำงานให้ครบ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้นจะได้ไม่มีรอยโหว่ในการทำงาน
“อยากให้ความเชื่อมั่นว่าในเรื่องต่างๆ เราในฐานะผู้รักษากฎหมาย ถ้าเกิดตำรวจผู้รักษากฎหมายทำผิด ก็ต้องลงโทษอย่างจริงจัง และก็ตำรวจดีๆ ยังมีอีกเยอะ เช่นเมื่อวานได้มีการมอบรางวัลให้กับสารวัตร ปคม. ถึงแม้ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่แต่พบเห็นการกระทำความผิด การชิงทรัพย์ร้านทองก็เข้าไปช่วยจับกุม ตำรวจดีๆ ก็ยังมีอีกมาก เราก็อยากให้กำลังใจด้วย ใครไม่ดีเราก็ว่ากันไป ผมยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุดและเน้นว่าเราเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมาก ได้มีการกำชับตำรวจ ตม. ตำรวจท่องเที่ยว และตำรวจพื้นที่ จะต้องดูแลนักท่องเที่ยวให้ดีที่สุด เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความบกพร่องอะไรไป ผมในฐานะหัวหน้าหน่วย ก็ต้องขอโทษผู้ที่ได้รับความเสียหายในเรื่องนี้กับเรื่องที่เกิดขึ้น” พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า เรื่องเกี่ยวกับตำรวจทำลายภาพลักษณ์ ผบ.ตร. กล่าวว่า เป็นโรคใหม่ โรคของยุคโซเชียลที่มีกล้องจำนวนมาก การกระทำความผิดมันก็ปกปิดได้ยาก จริงๆมันอาจจะมีมาแต่ไม่มีใครพบเห็น เราก็ต้องแก้กันไป เพื่อว่าในอนาคตมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ เชื่อมั่นว่าต้องดีขึ้นแน่นอน เพียงแต่อยากให้เห็นว่าตำรวจที่ดีๆ ก็ยังมีที่เสี่ยงอันตรายช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในการจับกุมคนร้าย.