เรียกว่าเป็นการ์ตูนสุดคลาสสิกที่คนทั่วโลกหลงรัก สำหรับ “พิน็อคคิโอ (Pinocchio)” ซึ่งล่าสุด โรเบิร์ต เซเม็กคิส ผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์ ได้สานฝันแฟน ๆ ด้วยการปลุกชีพตัวละครหุ่นไม้ที่ครองใจคนทั่วโลกตลอดกาลให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยเนรมิตรในรูปแบบภาพยนตร์ไลฟ์แอ๊คชั่น แถมยังดึงนักแสดงมากฝีมือ แถวหน้าของฮอลลีวูด อย่าง ทอม แฮงส์ รับบทสำคัญ “เจปเปทโต” ช่างแกะสลักไม้ ผู้สร้างหุ่นหนูน้อย “พิน็อคคิโอ” และที่พิเศษสุด ๆ “พิน็อคคิโอ” ถือเป็นหนึ่งในไลน์อัพคอนเทนต์ล่าสุดทั้งจาก ดิสนีย์, พิกซาร์, มาร์เวล, สตาร์ วอร์ส, เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก, เดอะ ซิมป์สัน และอีกมากมาย ที่จะเริ่มสตรีมพร้อมกันทั่วโลก บน “Disney+ Hotstar (ดิสนีย์พลัส ฮอตสตาร์)” เพื่อเฉลิมฉลองวัน Disney+ Hotstar Day ซึ่งตรงกับวันที่ 8 ก.ย. นี้
สำหรับเวอร์ชั่นไลฟ์แอ๊คชั่นนี้ ยังคงเป็นเรื่องราวการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของหุ่นไม้ ที่กลายมาเป็นเด็กชายที่มีชีวิต เมื่อ “เจปเปทโต” ช่างไม้ฝีมือดี ที่ปรารถนาจะมีลูกและวิงวอนขอพรจากสวรรค์ จนในที่สุดก็ได้รับพรจากนางฟ้า ทำให้ “พิน็อคคิโอ” หุ่นไม้ของเขามีชีวิตขึ้นมา เขาเลี้ยงดูราวกับ “พิน็อคคิโอ” เป็นลูกชายตัวเองจริง ๆ ก่อนตามมาด้วยเรื่องราว ที่ทำให้แฟน ๆ ได้เรียนรู้ไปกับการใช้ชีวิต ความสัตย์ซื่อ รวมถึงความรักในครอบครัวของ “พ่อและลูกชาย” ที่มาพร้อมความรักมหัศจรรย์
โดยได้ เบนจามิน อีแวน เอนส์เวิร์ธ มารับบท “พิน็อคคิโอ” ร่วมด้วย โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ เป็น “จิมินี่ คริกเก็ต” ผู้ช่วยแนะนำพิน็อคคิโอทั้งด้านชีวิตและจิตสำนึก, ซินเธีย เอริโว รับบท นางฟ้าสีน้ำเงิน, คีแกน ไมเคิล คีย์ รับบท “ออเนสท์ จอห์น”, ลอร์เรน บรักโค เป็น “นกนางนวลโซเฟีย” ซึ่งเป็นตัวละครใหม่ของภาพยนตร์เวอร์ชั่นนี้ และ ลุค อีแวนส์ ในบท “สารถี” พร้อมนักแสดงอีกคับคั่ง อย่าง คีแอนน์ ลามายา ในบท “ฟาบิอาน่า”, จาควิตา ทา เล ในบท “ซาบิน่า” (หุ่นกระบอกของฟาบิอาน่า), จูเซปเป บัตติสตอน แสดงเป็น “ซินญอร์สตรอมโบลี่” และ เลวิน ลอยด์ แสดงเป็น “แลมป์วิก”
ส่วนเพลงประกอบเวอร์ชั่นออริจินัล อย่าง “When You Wish Upon a Star” นั้นได้ ซินเธีย เอริโว มาขับร้องในครั้งนี้ รวมทั้ง “พิน็อคคิโอ” เวอร์ชั่นไลฟ์แอ๊คชั่นล่าสุด ยังมาพร้อมกับเพลงประกอบใหม่ ที่ประพันธ์โดยนักประพันธ์และนักแต่งเพลงผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ อลัน ซิลเวสทรี และ เกล็น บัลลาร์ด จากภาพยนตร์ “The Polar Express” อีกด้วย
เพื่อเป็นการอุ่นเครื่องก่อนไปพบเรื่องราวสุดแฟนตาซี “บันเทิงเดลินิวส์” มีโอกาสได้พูดคุยกับ ทอม แฮงส์ ถึงที่มากว่าเป็นภาพยนตร์ “พิน็อคคิโอ” ถ่ายทอดเรื่องราวสุดแฟนตาซี ซึ่งมาพร้อมความรักในครอบครัว ที่จะปลุกทุกความทรงจำแสนสุขในวัยเด็ก รวมทั้งถอดจิตวิญญาณ แนวคิด และบทเรียนของการ “จงเรียนรู้เมื่อต้องเจอประสบการณ์ชีวิตแย่ ๆ ที่ไม่มีในโรงเรียน และฝ่าฟันไปให้ได้ เพื่อปริญญาชีวิต” ด้วย!
Q : คุณมาร่วมงานในโปรเจคท์นี้ได้อย่างไร?
ทอม แฮงส์ : ผมได้ยินมาว่า บ๊อบ (เซเม็กคิส) กำลังจะสร้างภาพยนตร์เรื่อง ‘พิน็อคคิโอ’ ผมรออยู่พักหนึ่ง แล้วถามเขาว่า ‘คุณจะกำกับเรื่องพิน็อคคิโอจริงหรือ’ เขาตอบว่า ‘ใช่ กำลังคิดอยู่น่ะ’ แล้วผมก็บอกไปว่า ‘ถ้าคุณยังหาคนเล่นเป็น เจปเปทโต ไม่ได้ และคิดว่าจะมีอะไรให้ผมทำ ขอให้บอกละกัน’ แต่บ๊อบเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ไม่อาจทำสิ่งที่เคยทำมาแล้วได้ พอผมบอกไปว่า ‘ทำไมเราไม่ทำอย่างนี้ล่ะบ๊อบ’ เขาก็พูดว่า ‘แบบนั้นใคร ๆ ก็ทำได้’ เขาต้องทำอะไรที่หลุดโลกแบบสร้างสรรค์ และเขาก็ยังไม่เคยท้าทายผมด้วยงานที่แหวกแนวในการสร้างภาพยนตร์ สำหรับในภาพยนตร์เรื่องนี้ เราจะได้เห็นพิน็อคคิโอเป็นตัวของตัวเองไม่น้อยช ผมจึงเข้ามาร่วมด้วยเพราะไอเดียของบ๊อบ ซึ่งเหตุผลข้อแรกเลยก็คือ การได้มารับบทสุดคลาสสิกที่น่าหลงใหลนี้เป็นการรวมผลงานสุดคลาสสิกจากเรื่อง ‘พิน็อคคิโอ’ ของวอลท์ ดิสนีย์มาไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีสิ่งใหม่ ๆ ที่จะตามมาด้วย นอกจากจะปัดฝุ่นผลงานสุดคลาสสิกที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ ผมคิดว่ายังสะท้อนถึงการสร้างสรรค์งานในช่วงเวลาที่ต่างกันด้วย
Q : ทำไมคุณถึงคิดว่าเรื่อง “พิน็อคคิโอ” เวอร์ชั่นแรก ถึงคลาสสิกสุด ๆ ล่ะ?
ทอม แฮงส์ : ผมคิดว่าเป็นเพราะความดาร์ก วอลท์ เข้าใจดีว่าด้านมืดของเทพนิยาย เป็นส่วนที่สำคัญมากสำหรับองค์ประกอบในการเล่าเรื่องที่ดึงความสนใจทั้งคนหนุ่มสาวและวัยสูงอายุ พิน็อคคิโอถูกหลอกล่อและเลือกไปกับคณะละครของ ‘สตรอมโบลี (Stromboli)’ เขาออกจากบ้านที่ปลอดภัย ไปจากพ่อที่รักเขา และตกอยู่ในอันตราย เมื่อ ‘พิน็อคคิโอ’ เริ่มรู้ว่าภัยมาเยือน เขาได้กลายเป็นลาตัวหนึ่ง ที่ต้องแบกสัมภาระหนักอึ้ง นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่เขาต้องเผชิญ ผมคิดว่าเมื่อบวกกับการหนีเอาตัวรอดจากวาฬ ‘มอนสโตร (Monstro)’ ซึ่งฉากนี้เป็นหนึ่งในฉากที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีโดยตัวมันเอง หลังจากนั้นเรื่องราวสุดอัศจรรย์ที่พิน็อคคิโอและเจปเปทโตพยายามหนีเอาตัวรอด ก็ได้กลายเป็นความมืดมน เป็นส่วนหนึ่งของการดำดิ่งที่ฮีโร่ต้องฝ่าฟัน ซึ่งพิน็อคคิโอก็ทำได้ จึงเป็นที่จับตามองสำหรับโลกในยุคปี 1940 ผ่านการดัดแปลงอย่างลงตัวในสตูดิโอของดิสนีย์ โดยอาศัยความสามารถทางด้านงานกำกับศิลป์อย่างที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อนของสตูดิโอ และศิลปินของดิสนีย์ ผมคิดว่าพิน็อคคิโอ เป็นผลงานชิ้นเอกของเขา ทั้งในแง่ของภาพและการลำดับเหตุการณ์ครับ
Q : เล่าที่มาให้ฟังหน่อยว่าคุณและ “บ๊อบ” ปิ๊งไอเดีย “เจปเปทโต” ในเวอร์ชั่นของตัวเองได้ยังไง?
ทอม แฮงส์ : เรารับผิดชอบที่จะไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ เพื่อหาประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นรูปลักษณ์ของ ‘เจปเปทโต’ จึงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเวอร์ชั่นการ์ตูนมากนัก หนวดและทุกอย่างของผมเลยสะท้อนภาพของเจปเปทโตในเวอร์ชั่นเดิม แต่เราก็ยังต้องทำงานเพื่อตีโจทย์ให้ถึงแก่น ผมกับบ๊อบคุยกันถึงข้อมูลในแง่ที่ว่าเจปเปทโตเป็นคนที่มีความสุข แต่ชีวิตเขานั้นไม่สมบูรณ์ เขาขาดความสนุกในการใช้ชีวิต การมีครอบครัว ใช่ครับ นานมาแล้วครั้งหนึ่งเขาเคยมี แต่นั่นมันนานแค่ไหนแล้ว และการสูญเสียครั้งนี้น่าเศร้าเพียงใด อันที่จริงก็คือเจปเปทโต นั้นแก่ลงเรื่อย ๆ เขาไม่ใช่คนหนุ่มวัยยี่สิบปลาย ๆ เขาผ่านวัยกลางคนไปแล้ว ดังนั้นเราจึงคุยกันถึงไอเดียที่ว่าเขาอยู่คนเดียวโดยลำพัง คอยช่วยเหลือ และสร้างความสุขให้คนอื่น ๆ จากงานแกะสลักไม้ของตนเองมานานกว่า 25 ปีได้แล้ว นานมากแล้วที่เขากินอาหารเช้าและมื้อเย็นคนเดียวโดยไม่มีคนร่วมโต๊ะ ยกเว้นแมวและปลาทอง เจปเปทโตมีความปรารถนาที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเขาเอง การเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว นั่นคือภาพใหญ่ แต่คุณจะทำหนังแบบเดียวกับเวอร์ชั่นการ์ตูนไม่ได้ มันต้องลึกและต้องมีอะไรมากกว่านี้ งั้นเอาตั้งแต่เริ่มต้นเรามีเจปเปทโตที่ไม่พอใจกับชีวิตของตัวเอง พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่มีความสุขนั่นเอง
Q : มีอะไรเกี่ยวกับ “เจปเปทโต” ที่ต้องใช้เวลาตีโจทย์หรือแก้ไขเป็นพิเศษมั้ย?
ทอม แฮงส์ :เมื่อเขาต้องออกเดินทาง นั่นถือว่าเป็นการลงทุน ตอนที่ ‘เจปเปทโต’ ส่ง ‘พิน็อคคิโอ’ ไปโรงเรียน ด้านหนึ่งเขาดีใจที่พิน็อคคิโอได้ไปโรงเรียน แต่ในทางกลับกัน ก็ย่อมกังวลและเป็นห่วง เพราะเขาเพิ่งได้พิน็อคคิโอมา ผมคิดว่าในภาพยนตร์ต้นฉบับสรุปแบบรวบรัดว่าทุกอย่างจะโอเค แต่คิดว่าในยุคนี้เราจะทำอย่างนั้นไม่ได้ คุณไม่สามารถเป็นแค่พ่อแม่ที่ส่งลูกไปโรงเรียน เพราะคุณจะกังวลว่าพวกเขาจะไม่กลับมา จะทำอะไร และจะเจออะไร ซึ่งความกังวลนี้มีผลต่อการออกตามหาพิน็อคคิโอ เพราะเจปเปทโตไม่ได้ออกไปเพื่อช่วยชีวิตหรือตามหาเท่านั้น แต่เขากำลังจะออกไปต่อสู้กับความกลัวที่หนักหนาที่สุดเท่าที่เคยเจอ เพราะลูกชายกำลังจะหายไป และถ้าเป็นแบบนั้น เขาจะต้องอยู่คนเดียวอีกครั้ง เจปเปทโตมีเวลาแค่ช่วงสั้น ๆ ของการเป็นพ่อและมีครอบครัว และคงทนไม่ได้ที่จะถูกพรากสิ่งเหล่านี้ไป
Q : การกลับมาร่วมงานกับ “บ๊อบ” อีกครั้งเป็นอย่างไร?
ทอม แฮงส์ : บ๊อบเป็นความท้าทายที่น่าเหลือเชื่อ บางมุมก็ตลกดีนะ แต่บางทีก็เหมือนกับว่า ‘คุณรู้ใช่ไหมว่า คุณกำลังจะทำอะไร’ เขามักจะเจาะจงเรื่องเอฟเฟกต์พิเศษอยู่เสมอ จนคุณต้องตั้งสติว่าเขาต้องการอะไร สำหรับหนังของบ็อบจะมีโมเมนต์ที่เขาจะบอกว่า ‘โอเค นี่คือสิ่งที่คุณต้องจินตนาการ’ และสิ่งที่คุณต้องจินตนาการนั้นซับซ้อนมาก จนทำให้การแสดงนั้นยืดเยื้อ ผมต้องทำอะไรบางอย่างในบท ‘เจปเปทโต’ ซึ่งผมไม่มีทางเข้าถึงมันได้จากจุดที่ไกลออกไป แต่ต้องแสร้งทำ ผมได้เรียนรู้การทำงานกับบ๊อบเมื่อนานมาแล้ว นั่นคือว่า หากคุณไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยีที่จะใช้หลังจากนั้น อาจทำให้คุณประสาทเสียได้ เหมือนการจมน้ำ ดำผุดดำว่าย ทำนองว่า ‘โอเค นี่คือสิ่งที่เราต้องทำนะทอม เราต้องให้คุณห้อยหัวลง แต่จะดูไม่เหมือนการห้อยหัว คุณต้องอมน้ำไว้ในปาก แล้วบ้วนไปตรงนั้น แต่จะบ้วนแบบนั้นไม่ได้ คุณต้องทำแบบนี้’ และต้องรอจังหวะเหมาะ ขอให้ลองทำ 17 ครั้ง จนกว่าจะได้ชอตที่ใช่ มีอยู่ตอนหนึ่งที่ผมต้องนึกภาพปลา แมว จิ้งหรีด และตุ๊กตาไม้ไว้ในหัว ทั้งหมดนั่นแหละครับ และบางครั้งก็นางฟ้าด้วย ในวันที่สองที่สาม สมองของผมก็เริ่มล้า เลยพูดว่า ‘บ๊อบ ผมขอเวลาสักนาทีได้ไหมเพื่อนึกภาพทั้งหมดนี้ไว้ในหัวให้เข้าที่เข้าทาง’ เขาก็ให้เวลาผม ผมรู้เสมอว่าจะมีจุดหักเหนี้ในฉาก ซึ่งจะไม่มีเจมินี คริกเก็ตอยู่นอกเวทีให้พูดด้วย บางครั้งก็เป็นเพียงตัวชี้เลเซอร์เท่านั้นเลย นั่นคือเทคโนโลยีที่เอามาใช้ เพื่อให้รู้ว่าจะต้องอยู่ตรงไหน รู้ว่าจะต้องเป็นโจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ รู้เรื่องที่เขากำลังจะทำในจิตสำนึกของ ‘พิน็อคคิโอ’ ครับ
Q : นิทานสำหรับเด็กทุกเรื่องสอนคุณธรรม คุณคิดว่า “พิน็อคคิโอ” สอนเรื่องอะไร?
ทอม แฮงส์ : คงเป็นเรื่องความซื่อสัตย์ล่ะครับ ส่วนใหญ่ก็คงเป็นเรื่องนี้ คุณต้องถามตัวเองว่าอะไรเป็นอะไรและอะไรไม่สำคัญ แล้วคุณต้องเลือกเพื่อรักษาความซื่อสัตย์นั้นไว้ แต่ ‘พิน็อคคิโอ’ เป็นเหมือนผ้าขาวในตอนต้นเรื่อง แต่ก็ได้เรียนรู้ทุกอย่างของการเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึกเชื่อมโยงและมีความห่วงใย เขาเป็นเด็กจริงๆ ซึ่งต้องเรียนรู้เมื่อเวลาผ่านไป คุณธรรมที่นิทานเรื่องนี้สอนก็คือไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ ที่แข็งแกร่งไปกว่าความสัมพันธ์ของครอบครัว แต่จะเกิดขึ้นไม่ได้หากคุณไม่รู้จักตัวเองผมคิดว่า ‘เจปเปทโต’ นั้นเข้าใจดีว่าตัวเองเป็นใคร ขาดอะไร เก่งอะไร เคยมีอะไร สูญเสียอะไรไป และเขาได้เรียนรู้บทเรียนทั้งหมดแล้ว แต่เขาเป็นชายแก่ พิน็อคคิโอยังอายุน้อย ดังนั้นเขาคือเด็ก แต่พิน็อคคิโอยังต้องสะสมความรู้ และจากความรู้ที่เพิ่มขึ้นนั้น เขารู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด จนกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์กับตัวเองหลังผ่านประสบการณ์ชีวิตที่แย่ ๆ บทเรียนของหนังเรื่องนี้คือ จงเรียนรู้เมื่อต้องเจอประสบการณ์ชีวิตแย่ ๆ ที่ไม่มีในโรงเรียน และฝ่าฟันไปให้ได้พร้อมปริญญาชีวิต
Q : คุณหวังว่าผู้ชมจะได้อะไรจากภาพยนตร์เรื่องนี้?
ทอม แฮงส์ : นั่นเป็นคำถามแรก ๆ ของหนังเลย ผมคิดว่าไม่มีอะไรมาทดแทนการที่ผู้ชมได้เห็นสิ่งที่พวกเขาไม่ได้คาดหวังจากหนัง เมื่อหนังพาคุณไปถึงจุดที่เหนือความคาดหมาย นั่นคือความมหัศจรรย์ของภาพยนตร์ ซึ่งไม่ใช่แค่สิ่งที่เห็นเท่านั้น แต่เป็นการที่คุณรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในหนังด้วย อารมณ์ของหนังคือ หัวใจสำคัญของภาพยนตร์ ไม่ใช่แค่ฉากหน้าหรือท่วงทำนองดนตรีที่ไพเราะ ไม่ใช่แค่ว่าฉากต่อสู้จะเจ๋งแค่ไหน หรือเจ้า ‘มอนสโตร’ จะน่ากลัวแค่ไหน แต่เป็นการเชื่อมโยงทางอารมณ์ต่างหาก เคยมีคนมาหาผมและพูดถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของภาพยนตร์ที่ผมไม่เคยนึกถึงในรอบหลายปี ซึ่งไม่ใช่แม้แต่สิ่งที่เราจะทำ พวกเขาจะบอกว่า จำได้เสมอว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ทำอะไรเมื่อเห็นหนังเรื่องนั้น ๆ สถานการณ์เป็นอย่างไร และชวนให้ประหลาดใจว่า ห้วงอารมณ์ที่พวกเขาไม่ได้คาดหวังจากภาพยนตร์นั้นสำคัญมากเพียงใด ซึ่งห้วงอารมณ์นั้นจะอยู่กับคนดูไปตลอดเวลาที่เหลืออยู่ ผมเองก็เป็นอย่างนั้น และนั่นคือสิ่งที่คุณตั้งเป้าไว้ เป็นต้นว่า หากความปรารถนาของเจปเปทโตในช่วงเปิดเรื่องนั้นสร้างน้ำหนักทางอารมณ์ได้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว นั่นสำคัญมาก น่าพอใจมาก แต่ถ้าอย่างอื่นในหนังที่เราไม่คาดคิดกลายเป็นจุดสำคัญที่สุดในภาพยนตร์ นั่นคือสิ่งที่เยี่ยมไปเลย นั่นคือเมื่อศรัทธาที่เราทุกคนมีในการสร้างภาพยนตร์ และการไปดูหนังจะให้ผลกลับคืนมา เมื่อมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเฉพาะเกิดขึ้น จึงเป็นความยอดเยี่ยมที่ไม่อาจปฏิเสธได้และบางครั้งก็ปฏิเสธไม่ได้เมื่อมีคนที่บังเอิญไปดูหนังในสถานการณ์บางอย่างที่ปูทางไปสู่ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ นั่นหมายความว่ามันจะตราตรึงใจกับใครสักคนไปตลอดชีวิต และภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมจะคงอยู่ตลอดไปครับ
แฟน ๆ อย่าพลาดมาร่วมเติมเต็มความฝันวัยเยาว์ไปกับตัวการตูนในดวงใจ พร้อมเอาใจช่วย “พิน็อคคิโอ” ถอดบทเรียนที่ไม่มีในโรงเรียน เพื่อเรียนรู้ความรักและความหมายของชีวิตไปพร้อมกัน!
ภาพ : Disney Enterprises