ใครบ้าง? ไม่มีหนี้!! ณ เวลา นี้ พุทธสุภาษิต ที่ว่า “อโรคยา ปรมาลาภา” ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ คงไม่ใช่ลาภอันประเสริฐ แต่เพียงอย่างเดียวในเวลานี้อีกต่อไป
เชื่อได้ว่า…คนไทยตาดำ ๆ ขณะนี้ ต่างภาวนาให้ตัวเอง “ไร้หนี้” พร้อม ๆ กับคำเปรียบเปรย ที่ว่า ใครไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ!!
ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องของการเป็นหนี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต เพียงแต่ต้องเป็นหนี้ที่ไม่ “เกินตัว” เท่านั้น หากเป็นหนี้แล้วก่อให้เกิดรายได้ เพื่อนำมาชำระหนี้ได้ หรือเป็นหนี้แล้วก่อให้เกิดการลงทุน ที่มีรายได้ มีกำไร มาชำระหนี้ ก็ไม่ได้เสียหายอะไรเช่นกัน
แต่!! การเป็นหนี้ ณ ขณะนี้ ส่วนใหญ่แล้วกลายเป็นหนี้ “เกินตัว” จะด้วยพฤติกรรม ที่ “จมไม่ลง” หรือไม่พอเพียง หรือเป็นหนี้เพราะมีรายได้ลดลง จากพิษสงเศรษฐกิจที่ชะลอตัวก็ตาม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า จากพิษของไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้คนไทยมีภาระหนี้ต่อรายได้ หรือดีเอสอาร์ หนักขึ้น โดยล่าสุดในเดือน มิ.ย.64 นี้ ดีเอสอาร์ขยับขึ้นเป็น 46.9% จาก 42.8% ในเดือน มี.ค.64
แปลความได้ว่า คนไทยมีหนี้เกือบครึ่งหนึ่งของรายได้เข้าไปแล้ว แม้ส่วนหนึ่งไม่ได้เกิดจากการก่อหนี้เพิ่มก็ตาม แต่มาจากเงินเดือนลด โบนัสลด โอทีลด ชั่วโมงทำงานลด ทำให้รายได้ลดลง
ไม่เพียงเท่านี้ยังเชื่อกันว่า เมื่อสิ้นปี 64 นี้ หนี้ครัวเรือนไทยจะทะยานสูงเกินกว่า 90% ของจีดีพี กันทีเดียว โดยมีมูลหนี้รวมกันแล้วประมาณ 14.6 ล้านล้านบาท
ขณะเดียวกันในเชิงการเมืองแล้ว ต้องยอมรับว่า ณ เวลานี้ กระแสนิยมในตัว “บิ๊กตู่” เริ่มลดน้อยถอยลงไปทุกวัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่จะหยิบยกนำ “ปัญหาปากท้อง” ขึ้นมาสร้างกระแส มาต้านทานแรงลมที่กำลังดิ่งหัวลง
ด้วยเหตุนี้… จึงได้ออกมาย้ำชัด ๆ ที่จะแก้ไขปัญหาหนี้สินให้คนไทยทั้ง 1.38 ล้านล้านบัญชี เพื่อเรียกน้ำย่อยให้คนไทยหายใจหายคอได้สะดวกเพิ่มมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นหนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จำนวน 3.6 ล้านคน รวมถึงผู้ค้ำประกัน 2.8 ล้านคน หรือหนี้ครูและข้าราชการ 2.8 ล้านบัญชี หรือหนี้เช่าซื้อรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ 27.7 ล้านบัญชี
นอกจากนี้ ยังมีหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 49.9 ล้านบัญชี และหนี้สินอื่น ๆ ของประชาชนอีก 51.2 ล้านบัญชี
เอาเข้าจริงแล้ว ที่ผ่านมาหน่วยงานต่าง ๆ ก็ออกมาตรการแก้หนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งพักหนี้ พักต้น พักดอก ลดเงินต้น ลดดอกเบี้ย ปรับโครงสร้างหนี้ และอีกสารพัดวิธี
ไม่เพียงแค่ลดภาระ และให้เวลาต่อลมหายใจเท่านั้น บางสถาบันการเงิน ก็ให้เงินกู้ใหม่ เพื่อไปเดินหน้าธุรกิจ หรือไปทำมาหาเลี้ยงชีพของตัวเองต่อไปให้ได้
แต่ปัญหาคือ…ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่โงหัว ต่อให้พักหนี้ พักดอก เพิ่มโอกาสให้แล้ว แต่ในภาพรวมของเศรษฐกิจ ยังไปไม่ได้ ด้วยปัญหาโควิด จะทำอย่างไรก็หาทางรอดได้ยากแสนเข็ญ ทีเดียว แถมมาเจอพิษของโควิดระลอก 3 ผนวกเข้ากับปัญหาการจัดการวัคซีน ที่ยักแย่ยักยัน ชักเข้าชักออก เข้าให้อีก
ต่อให้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. จะคลายล็อกในหลาย ๆ พื้นที่ ในหลาย ๆ ธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ก็ตาม
แต่ท่ามกลางภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ถ้าโชคไม่เข้าข้างจริง! ก็เจ็บตัวกันถ้วนหน้า แล้วจะเดินหน้ากันต่อไปได้อย่างไร?
ขณะเดียวกันก็ใช่ว่า ทุกอย่างจะมีแต่ปัญหา หากปัญหา ได้รับการแก้ไข หาทางออกได้อย่างต่อเนื่อง ก็เชื่อได้ว่า แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ย่อมมีให้เห็น
เช่นเดียวกับเรื่องของการแก้หนี้ ให้กับประชาชนนี่แหละ ต่อให้มีการพักต้นเงินให้ แต่หากยังต้องจ่ายดอกเบี้ยต่อ ก็เป็นเรื่องยาก และถ้าหากจะให้ลดดอกเบี้ย ก็ต้องคิดหนัก เพราะธุรกิจก็คือธุรกิจ ที่ต้องเดินหน้าต่อไปเช่นกัน
แม้เวลานี้กระทรวงการคลังจะประกาศสารพัดมาตรการ หรือแม้แต่ละหน่วยงานที่ออกมาเด้งรับ ขานรับนโยบายแก้ไขหนี้ของนายกฯ บิ๊กตู่
แต่…ก็เป็นมาตรการเดิมที่แต่ละหน่วยงานก็ดำเนินการกันอยู่แล้ว และเป็นเพียงขยับขยายเวลาให้หายใจได้เท่านั้น ตราบใดที่ภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่โงหัวได้ การลดภาระหนี้ให้คนไทย ก็อาจเป็นเพียง คำลอยลม เท่านั้นก็เป็นไปได้
……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”