เป็นที่คาดการณ์กันว่าในวันที่ 10 ส.ค.นี้ แบงก์ชาติโดยคณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ กนง. จะตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 0.75% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นในรอบเกือบ 4 ปี
เหตุผลของการขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้!! ก็เพื่อลดความร้อนแรงของอัตราเงินเฟ้อที่ยังทะยานสูงขึ้น จากวิกฤติราคาพลังงานที่ยังคงแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แม้การขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้ “ต้นทุน” ของคนไทยทุกคน แต่การที่ “เงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้น” ก็ทำให้เราต้องใช้จ่ายเงินเพิ่มมากขึ้นในการซื้อสินค้าและบริการ
ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ ได้รายงานอัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ค. 65 สูงขึ้น 7.61% ขณะที่เงินเฟ้อโดยรวม 7 เดือน ตั้งแต่ ม.ค.-ก.ค. เพิ่มขึ้น 5.89% แถมยังปรับเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อทั้งปี 65 เพิ่มเป็น 6% จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 4.5%
นั่น!! หมายความว่า…ประชาชนคนไทย ต้องควักเงินในการซื้อสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 6%
“เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า ผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ย ย่อมส่งผลทำให้ต้นทุนประชาชนเพิ่มขึ้นแน่นอน แต่หากไม่ทำอะไร!! ยิ่งกระทบต่อผู้มีรายได้น้อยมากขึ้น
แต่!! การขึ้นดอกเบี้ยมีผลกระทบน้อยกว่า ผลกระทบจากต้นทุนเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งต่างกันถึง 7 เท่า
เอาเป็นว่า กนง.จะหักปากกาเซียนหรือไม่? ก็คงต้องรอดูมติกันต่อไป
ที่แน่ ๆ คนที่เป็น “หนี้” ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม แม้ว่าการส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. จะไม่ได้ทำให้ทุกแบงก์ ทุกสถาบันการเงินขึ้นดอกเบี้ยทันทีเลยก็ตาม
ที่ผ่านมา สถาบันการเงิน ได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้า ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสร้ายโควิด ทั้งลดดอกเบี้ย พักชำระหนี้ พักดอกเบี้ย ยืดเวลาชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ หรือการรวมหนี้
ในเมื่อทิศทางของดอกเบี้ย อยู่ในช่วงขาขึ้น ดังนั้น!! จึงเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ ว่าต้นทุนของการกู้เงิน ย่อมมีภาระเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ประกอบอาชีพ “ครู“ ที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าปัญหาเรื่อง “หนี้ครู” นั้นมีมาอย่างยาวนาน ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้พยายามแก้ไขปัญหาจนลดน้อยถอยลงไป
ปัจจุบันครู 9 แสนคนทั่วประเทศ หรือประมาณ 80% มีหนี้รวมกัน 1.4 ล้านล้านบาท โดยเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุด คือ สหกรณ์ออมทรัพย์ครู จำนวน 8.9 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 64%
รองลงมา คือ ธนาคารออมสิน 3.49 แสนล้านบาท คิดเป็น 25% ที่เหลือเป็นหนี้กับ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และสถาบันการเงินอื่น ๆ
ขณะนี้มีครูและบุคลากรทางการศึกษาลงทะเบียน “โครงการแก้หนี้ครู” แล้วกว่า 41,000 ราย ในจำนวนนี้มีปัญหาที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน คือ การลดดอกเบี้ยเงินกู้กว่า 30,000 ราย
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความเดือดร้อนจากการเป็นผู้ค้ำประกัน การขอปรับโครงสร้างหนี้ และการถูกดำเนินคดี ที่ไม่สามารถจะจ่ายหนี้ได้
แม้ทุกวันนี้ทุกฝ่ายได้พยายามช่วยให้คุณครูหลุดพ้นจากความเป็นหนี้ให้มากที่สุด ให้เร็วที่สุด แต่แนวโน้มดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ปัญหาใหญ่ คงหนีไม่พ้นว่า “ดอกเบี้ย” ของหนี้ครูจะปรับเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?
อย่าลืมว่า…ทุกวันนี้ทุกอย่างแพงขึ้นเหมือนกันหมด ยกเว้น “เงินในกระเป๋า” ที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม ดังนั้น ต่อให้มีโครงการช่วยเหลือ แต่ทุกคนที่เป็นหนี้ย่อมต้องมี “ความเสี่ยง” เพิ่มมากขึ้น จากต้นทุนใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
ต่อให้ “ธนาคารออมสิน” ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในโครงการแก้หนี้ครู จะเล็งขยายโครงการไปจนถึงสิ้นปี หลังจากสิ้นสุดมาตรการไปเมื่อ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา
ทั้งนี้มีครูและบุคคลากรทางการศึกษา ที่เข้าร่วมโครงการ 3.5 แสนคน มูลหนี้รวม 3.5-3.7 แสนล้านบาท เฉลี่ยแล้วมีหนี้คนละประมาณ 1 ล้านบาท และในจำนวนนี้ยังเหลือหนี้ที่เป็นคุณภาพไม่ดีประมาณ 4.4%
แต่การขยายโครงการช่วยเหลือครั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าออมสินจะช่วยเหลือแบบเหมารวม เหมือนที่ผ่านมาอีก แต่เน้นไปที่ลูกหนี้ที่มีปัญหา ที่ต้องมาพูดคุย มาหารือ มาปรึกษา เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการปรับโครสร้างหนี้
อย่างที่รู้กัน การขยายโครงการแก้หนี้นั้น ไม่ใช่แค่หนี้คุณครูหรือบุคลากรทางการศึกษา เท่านั้น แต่หมายถึง “ลูกหนี้ทุกคน” หากช่วยเหลือกันนานเกินไปก็อาจทำให้เกิดการเสียวินัยการเงิน จนกลายเป็นอันตรายทางศีลธรรม หรือโมรัล ฮาซาร์ด
สุดท้าย… ก็จะเจ๊งกันเป็นลูกระนาด หนทางที่ดีที่สุดในเวลานี้ การเจรจากับเจ้าหนี้ เพื่อหาทางออก จึงเป็นสิ่งที่ลูกหนี้ทุกคนควรทำ!!
……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”…