“พิษร้าย” ของการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากจะส่งผลในเรื่องสุขภาพและชีวิตแล้ว ยังฟาดหางใส่ภาวะ เศรษฐกิจ จนทำให้ธุรกิจไปต่อไม่ไหว ต้อง “ปิดกิจการ” จน “มนุษย์เงินเดือน” ต้องกลายเป็นคนตกงาาน “แตะฝุ่น” แบบไม่ทันตั้งตัว

หลายคนต้องดิ้นรนหางานใหม่ เพื่อให้มีรายได้มา “จุนเจือครอบครัว” และใช้จ่าย “ภาระหนี้ที่มีอยู่” แต่งานสมัยโควิด ก็ไม่ใช้จะหาได้ง่ายๆในวิกฤติแบบนี้

 อย่างไรก็ตามมีหนึ่งช่องทางที่อาจจะเป็นตัวเลือกของ “คนตกงาน” หรืออยากหา “รายได้พิเศษ” เพิ่มเติมในช่วงนี้ ซึ่งก็คือการ “ขายของออนไลน์”

เพราะ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ หรือ การซื้อขายสินค้าออนไลน์ ยังเป็น ธุรกิจที่ยังสามารถเติบโตได้ในภาวะ “วิกฤติ” แบบนี้ ซึ่งสถานการณ์โควิด-19 เป็นตัวเร่งสำคัญที่กระตุ้นผู้บริโภคคนไทยมีพฤิตกรรมซื้อของออนไลน์มากยิ่งขึ้น ทำให้ตลาดอี-คอมเมิร์ซของไทยในปี 63 ที่ผ่านมา เติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 30% และคาดว่าในปี  64 นี้ จะเติบโตอีก 10-15%  หรือมีมูลค่าประมาณ 2.7 แสนล้านบาท

หากใครอยากลองหารายได้จากเป็น “พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์” ก็ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ  แต่ก็ถือว่าไม่ใช่ เรื่องง่าย เพราะมีรายละเอียดมากมายที่ต้องศึกษา ไม่เช่นนั้นแล้วแทนที่จะเป็นการหารายได้เพิ่ม จะยิ่งเป็นการขาดทุน จากเงินทุนที่ต้องลงไป วันนี้จึงมีไกด์ไลน์เล็กๆน้อย มาแนะนำ สำหรับคนที่สนใจ

งบลงทุน-ศึกษาตลาดขายอะไร

เริ่มแรกหลายๆคนคิดไม่ตกว่าจะขายอะไรดี? แน่นอนว่าสินค้าที่ขายต้องไม่ใช่สินค้าผิดกฎหมาย เริ่มแรกคงต้อง ดูว่า เรามี “งบลงทุนเท่าไร” เพื่อที่จะสามารถดูว่าจะหาสินค้าใดมาขายได้บ้าง  และควรศึกษาตลาดว่าสินค้าอะไร ที่จะสามารถปล่อยได้ง่าย และมีคนสนใจบนโลกออนไลน์

ภาพ pixabay

 ซึ่งจากสถิติของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซดัง ก็จะระบุตรงกันว่า สินค้าที่ขายดี ในอันดับแรกๆ ก็คือ สินค้าในหมวดแฟชั่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ สินค้าในหมวดสุขภาพและความงาม  และสินค้าหมวด อุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ฯลฯ ที่จะเป็นสินค้าที่ “ซื้อง่าย ขายคล่อง” ที่สุด

 อย่างไรก็ตามในทางกลับกัน เมื่อ “ซื้อง่ายขายคล่อง” แล้ว แน่นอนว่าก็จะมีคนขายจำนวนมาก การแข่งขันก็จะสูง มีการตัดราคากัน ในช่วงแรกจึงไม่ควรลงทุนสูงมาก เช่น หากอยากขายเสื้อผ้า รองเท้า หรือเครื่องประดับ คงต้องดูว่าตอนนี้ แฟชั่นแบบไหนกำลังมาหรือเป็นที่นิยม เพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย และ หาแหล่งซื้อที่ราคาไม่แพง เป็นร้านขายส่ง เช่น ตลาดโบ๊เบ๊  สำเพ็ง หรือ ประตูน้ำ ฯลฯ

หากไม่อยากลงทุนมาก ก็สามารถเอาเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับที่ไม่ใช่แล้ว สภาพยังดี ของเรา มาทดลองขายก่อนได้ ซึ่งตลาดเสื้อผ้ามือ รองเท้า มือสองก็ถือว่ามีคนสนใจจำนวนมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะหากเป็น สินค้าแบรนด์เนมด้วยแล้ว มีโอกาสปล่อยได้ไม่ยาก ซึ่งการขายสินค้าต้องบอกรายละเอียดสินค้าต่างๆให้ชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจได้เร็วขึ้น และหากมีข้อซักถาม ก็ต้องรีบตอบข้อมูลให้ผู้ซื้อ เพื่อปิดการขายได้เร็วและง่ายขึ้น

เลือกช่องทางการขายไหนดี?

การขายของออนไลน์ในปัจจุบันมีช่องต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเว็บขึ้นมาเอง ซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่ายที่สูง ทั้งการจ้างคนเขียนเว็บ และการดูแลระบบ ซึ่งหากไม่มีงบในส่วนนี้ เราอาจจะไปสมัครขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเเมิร์ซ ที่เป็นที่นิยม อาทิเช่น ลาซาด้า และช้อปปี้ ซึ่งจะช่วยให้เข้าถึงผู้ใช้งานจำนวนมาก มีระบบจัดการต่างๆรองรับ ทั้ง การชำระเงิน การขนส่ง ฯลฯ แต่ ก็ต้องแลกกับการเสียค่าธรรมเนียมในการใช้แพลตฟอร์ม คนที่สนใจก็เข้าไปศึกษา หรือสอบถามแพลตฟอร์มได้

อย่างไรก็ตามยังมีอีกหนึ่งช่องทางและเป็นที่นิยมอย่างมาก ก็คือ โซเซียลคอมเมิร์ซการขายสินค้าผ่านโซเชียลมีเดีย  อาทิ เฟซบุ๊ก และอินสตาแกรม หรือ ไอจี(IG)  และไลน์ ฯลฯ ซึ่งเหมาะกับการขายสินค้าแฟชั่น เสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ  โดยหากจะของออนไลน์บน ไอจี ควรจะสมัครบัญชีธุรกิจ เพราะ เราสามารถใส่ข้อมูล Contact info ของธุรกิจเข้าไปได้ ลงโปรโมทไอจีได้ และยังมีสถิติต่างๆ เพื่อใช้วิเคราะห์ เช่น จำนวนคนที่เข้าถึงคอนเทนต์เรา ฯลฯ

ภาพ pixabay

การชำระเงินควรจะง่ายสะดวก

การขายของออนไลน์ เรื่องการชำระเงินก็ถือว่าสำคัญ ต้องเน้นความสะดวกให้ลูกค้าและง่ายที่สุด เช่น การโอนเงินผ่านธนาคาร ซึ่งปัจจุบันก็นิยมโอนผ่านแอพพลิเคชั่นของธนาคารบนมือถือ และ โอนผ่านพร้อมเพย์ ที่สะดวกและรวดเร็วไม่ต้องเดินทางไปทำรายการโอนที่ตู้เอทีเอ็ม   หรือจะเปิดให้ชำระผ่านบัตรเครดิต  หรือ เก็บเงินปลายทาง ก็ถือเป็นอีกทางเลือก ตามที่ลูกค้าจะสะดวกจ่าย

ขนส่งสินค้าต้องเร็วได้ใจลูกค้า

ต้งยอมรับว่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์ฝั่งผู้ซื้อจะไม่ได้เห็นได้จับของจริง เมื่อมีการตกลงซื้อขายกันแล้ว สิ่งสำคัญคือการส่งของให้ถึงมือผู้ซื้อให้เร็ว เพราะคนซื้อก็อยากจะเห็นและได้ของไวๆ ซึ่งต้องตกลงให้ดีว่า มีการคิดค่าส่ง เพิ่มเท่าไร หรือส่งฟรี  ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทขนส่งให้เลือกหลายราย ทั้งของรัฐ และเอกชน บางช่วงเวลาจะมีการทำ โปรโมชั่นแข่งขันกัน มีราคาค่าส่งที่ถูกลง หรือผู้ซื้ออยากให้ส่งสินค้ากับผู้ให้บริการรายไหน ควรตกลงกัน และเมื่อส่งสินค้า ไปแล้ว ควรแจ้งเลขพัสดุให้กับผู้ซื้อ เพื่อให้สามารถติดตามตรวจสอบสถานะ การขนส่งจากเว็บไซต์ของผู้ให้บริการได้ว่า สิ่งของอยู่ในขั้นตอนใด ของจะถึงเมื่อไหร่

ภาษีกับการขายของออนไลน์

ถือเป็นปัญหาที่หลายๆคนสงสัยว่า หากขายของออนไลน์ต้องเสียภาษีหรือไม่? ซึ่งจากข้อมูลของกรมสรรพกร ระบุว่า ตามหลักแล้วผู้ที่มีรายได้ จากการค้าขาย ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าออนไลน์หรือขายสินค้าทั่วไป เมื่อมีรายได้ต่อปี เกิน 60,000 บาทขึ้นไป ทุกคนก็จะต้องมีหน้าที่ยื่นแบบฯ และในกรณีที่ไม่ได้ยื่นแบบภายในกำหนดเวลา ต้องเสียค่าปรับ ไม่เกิน 2,000 บาท และเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของจำนวนภาษีที่ต้องชำระ

จึงเป็นเรื่องที่พ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ต้องศึกษาให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง!!

พ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการยื่นแบบแสดงรายการ และชำระภาษีอย่างง่าย ได้ที่ www.taxliteracy.academy   หากยังไม่คลายสงสัยหรือมีเรื่องติดขัด ก็สามารถไปปรึกษา ทูตภาษี ของกรมสรรพกร  ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทั่วประเทศ  ซึ่งพร้อมให้คำปรึกษาเพื่อให้ชำะภาษี ได้อย่างถูกต้องครบถ้วน

ทั้งหมดเป็นข้อมูลที่ต้องพิจารณาเบื้องต้นสำหรับคนที่อยากสวมบท “พ่อค้า แม่ค้า”ขายของออนไลน์ที่อาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการหารายได้เพิ่มในช่วงวิกฤติแบบนี้.

จิราวัฒน์ จารุพันธ์