หลังจาก “The Hitman’s Bodyguard (แสบ ซ่าส์ แบบว่าบอดี้การ์ด)”  เมื่อปี 2017 สร้างความประทับใจและประสบความสำเร็จถล่มทลาย ล่าสุดนักฆ่าและบอดี้การ์ดระดับพระกาฬแห่งโลกมือสังหาร  ที่เคยจำใจร่วมมือกันเฉพาะกิจ ก็ได้กลับมาสาดความมันส์ให้คอหนังบู๊อีกครั้งใน “Hitman’s Wife’s Bodyguard  (แสบ ซ่าส์ แบบว่าบอดี้การ์ด 2”  ผลงานแอ็กชั่น คอเมดี้ฮากระจาย ที่มันส์กว่า เข้มข้นกว่า วายป่วงยิ่งกว่าเดิม โดยยังคงได้สองนักแสดงแถวหน้าของฮอลลีวูด  อย่าง แซมมวล แอล แจ็คสัน  และ   ไรอัน เรย์โนลด์ส กลับมาจับมือสวมบทบาทสองยอดคนต่างขั้วสุดอันตรายเช่นเดิม  ร่วมด้วย ซัลมา ฮาเย็ก ที่จะเติมความแซ่บยิ่งกว่าเก่า ผลงานผู้กำกับ แพทริค ฮิวจ์ส 

กับเรื่องราวเมื่อ ไมเคิล ไบรซ์  (ไรอัน เรย์โนลด์) เลือกที่จะพักงานตัวเองเพื่อรักษาสภาพจิตใจ แต่แล้วเขากลับถูก โซเนีย คินเคด (ซัลมา ฮาเย็ก) ภรรยาของมือสังหารรุ่นใหญ่ลายครามและเป็นคู่ปรับเก่า  อย่าง ดาเรียส คินเคด (แซมมวล แอล แจ็คสัน) หลอกให้มาทำภารกิจตามหาสามีที่โดนลักพาตัว  ก่อนที่ทั้งสามคนจะต้องร่วมมือกันหยุดยั้งอาชญากรสุดเหี้ยม “อริสโตเติล” (แอนโตนิโอ แบนเดอรัส) ที่หมายจะก่อวินาศกรรมทั่วยุโรป ภารกิจปกป้องไม้เบื่อไม้เมา พร้อมช่วยยุโรปให้พ้นภัยจึงเริ่มขึ้น และเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องความมันส์  “มูฟวี่โซน” จึงไม่พลาดพาไปเจาะลึกเรื่องราวของหนังเรื่องนี้กันแบบจัดเต็ม

บทนำและแก่นเรื่อง

สำหรับ “THE HITMAN’S WIFE’S BODYGUARD” เป็นเรื่องราวของคู่หูสุดแปลกแหวกแนวที่สุดในสามโลก  เมื่อบอดี้การ์ดหนุ่ม “ไมเคิล ไบรซ์ ( Michael Bryce)”  รับบทโดย  ไรอัน เรย์โนลด์ส  และนักฆ่าระดับพระกาฬ  “ดาเรียส คินเคด (Darius Kincaid)”  รับบทโดย ซามูเอล แอล แจคสัน  กลับมาอีกครั้งในภารกิจเสี่ยงตาย  “ไบรซ์” ผู้ซึ่งยังไม่มีใบอนุญาตและกำลังอยู่ภายใต้การถูกตรวจประเมินอย่างหนัก ถูก  “โซเนีย คินเคด (Sonia Kincaid)” รับบทโดย  ซัลมา ฮาเย็ค  นักต้มตุ๋นสาวนามกระฉ่อนระดับโลก ซึ่งเป็นภรรยาจอมป่วนของ “ดาเรียส” บีบบังคับให้เขาต้องออกโรง  ขณะที่ “ไบรซ์” ถูกกดดันแทบบ้าโดยคู่รักสุดแสบคู่นี้ ที่เขามีหน้าที่คุ้มกัน ทั้งสามก็ดันเข้ามาพัวพันกับแผนก่อการระดับโลก และในไม่ช้าก็ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างทวีปยุโรปกับความบรรลัย ผู้เข้าร่วมในความโกลาหลที่ทั้งขำทั้งอันตรายนี้ ได้แก่  อันโตนิโอ แบนเดอรัส  ในบทชายผู้มีอิทธิพลและพยาบาทหลุดโลก และ มอร์แกน ฟรีแมน  ในบท “ไบรซ์ผู้พ่อ” !

สำหรับ “THE HITMAN’S WIFE’S BODYGUARD”  หนังแอคชั่นคอมเมดี้ สุดดราม่า ที่นำมาซึ่งความวุ่นวายน่าปวดหัวแก่ “ไมเคิล ไบรซ์” มากขึ้นไปอีก  ชีวิตของเขาพังไม่เป็นท่า และสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการก็คือการเข้าไปพัวพันกับคนที่วางระเบิดบึ้มมันให้พังทลายลงในตอนแรก  แต่ดูเหมือนชะตาจะชอบเล่นตลก  ส่งให้นักฆ่า อย่าง “ดาเรียส คินเคด” ที่คราวนี้มาพร้อมกับ “โซเนีย” ภรรยาสาวหลุดโลกชาวเม็กซิกัน ผู้รักความรุนแรง นำพาให้ “ไมเคิล ไบรซ์” ตกอยู่ในอันตรายและความโกลาหลอีกครั้ง

เมื่อพวกเขาเดินทางสุดแสนระทึกสู่ชายฝั่งอามาลฟีของประเทศอิตาลี  การเดินทางนี้นำมาซึ่งกระเป๋าเดินทางระเบิด ที่ต้องพบกับกลุ่มมาเฟียอิตาลี  อันธพาลรัสเซีย การไล่ล่าบนถนน  การทะเลาะวิวาทที่บาร์ เหตุระเบิด เกตุถล่มยิง ถูกทรมานอีกนิดหน่อย โดยรวมแล้วก็คือเหตุการณ์สั่นประสาท ขณะที่พวกเขาถูกบังคับอย่างไม่เต็มใจให้ช่วยยุโรปพ้นภัยจากกลุ่มหัวรุนแรง ที่ร่ำรวยและมีอำนาจ  แต่ต่อมความรู้สึกรักชาติทำงานมากไปนิด จนเป็นอันตราย ประกอบกับความแค้นส่วนตัวอันนำมาสู่การล้างแค้นที่น่าสะพรึงกลัว  และเพื่อเพิ่มความปวดหมองให้กับ “ไบรซ์” เข้าไปอีก เขายังถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับอดีตของครอบครัวของตัวเอง  ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสต่อความปรารถนาอันแรงกล้าของคู่รัก “คิดเคด” ที่จะสร้างครอบครัวของตัวเอง  เรียกได้ว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่ารื่นรมย์นัก

 ผู้กำกับ  แพทริค ฮิวจ์ส กับหนังตลกหลุดโลกสุดมันส์

“ระเบิดบึ้มใหญ่กว่า แปลกประหลาดมากกว่า เป็นหนังตลกที่หลุดโลกแบบสุดๆไปเลย!”  แพทริค ฮิวจ์ส ผู้กำกับ

ผู้กำกับ แพทริค ฮิวจ์ส  เผยว่า เค้าร่างของสิ่งที่จะกลายเป็น “THE HITMAN’S WIFE’S BODYGUARD” เริ่มขึ้นในระหว่างการตัดต่อเรื่อง “THE HITMAN’S BODYGUARD”  และความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว  ทำให้เขาและสตูดิโอ “มิลเลนเนียม มีเดีย” เชื่อว่าภาคต่อมีความเป็นไปได้อย่างสูง 

“ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ ‘ไมเคิล ไบรซ์’  ต่อไปหลังจากการร่วมทางกับ ‘คินเคด’ สำหรับผม ผมรู้สึกว่าเขาต้องเข้ารับการบำบัดอย่างแน่นอน  และ ‘คินเคด’ ก็รู้สึกเหมือนเป็นพ่อที่เอาแต่ใจ และช่างขัดไปเสียหมดในภาพยนตร์เรื่องนั้น และไบรซ์ก็มีปัญหาเรื่องภาวะทางอารมณ์และจิตใจที่หยั่งรากลึก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่จะสำรวจมิติด้านครอบครัวของเขา”  ผู้กำกับคนดังเปิดใจ  และมิติดังกล่าว ในครั้งนี้ ก็มี “โซเนีย คินเคด” ที่แม้จะดูน่าเกรงขาม แต่ก็มีความตลก ก้าวเข้ามาในฐานะเหมือนเป็นแม่  จริง ๆ แล้ว ตอนที่เธอไม่ได้กำลังระเบิดความคลั่ง เธอทำได้ดีทีเดียวในการเป็นกาวใจระหว่าง “ไมเคิล”และ “ดาเรียส” ด้วยการแสดงความเห็นอกเห็นใจ และช่วยให้พวกเขาทุกคนเรียนรู้ว่าครอบครัวอาจไม่อยู่ในที่ที่คุณมองหาเสมอไป

เจฟฟรีย์ กรีนสไตน์ ประธานมิลเลนเนียม มีเดีย กล่าวว่า “หลังจากที่ได้เห็นความรักในหมู่ตัวละครและความสนุกสนานในภาคแรก เราไม่อาจปราศจากซึ่งไมเคิล ไบรซ์, ดาเรียสและโซเนีย คินเคด โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณรัดเข็มขัดนิรภัยและพร้อมผจญภัยกับความสนุกครั้งใหม่อีกครั้ง  หนังเรื่องนี้สนุกพอ ๆ กับเคมีบนหน้าจออันน่าทึ่งของเหล่านักแสดงที่กลับมาครบทีม พร้อมโบนัสเพิ่มเติมจากมอร์แกน ฟรีแมน, อันโตนิโอ แบนเดอราส และแฟรงค์ กริลโล ที่เสริมทัพความบันเทิงมาสู่เรา ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องถูกใจผู้ชมทั่วโลก”

“ไมเคิล ไบรซ์” บอดี้การ์ดสามดาว กับเรื่องราวแสนโกลาหล

“ไมเคิล ไบรซ์”  บอดี้การ์ดระดับสามดาว ผู้ครั้งหนึ่งเคยประสบกับวิกฤตมาทั้งชีวิตและผ่านการบำบัดที่แย่มาก  ใบอนุญาตของเขายังคงถูกระงับ อัตตาของเขาเปราะบางยิ่งนัก เขาไม่ได้เคสใหม่มาหลายเดือนแล้ว และยังฝันร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงศัตรูตัวฉกาจของเขา นั่นคือ “ดาเรียส คินเคด” นักฆ่าผู้ฉาวโฉ่  แม้ว่านักบำบัดโรคที่เขาเข้าปรึกษาจะทำทุกอย่างแล้ว โดยส่งเขาไปพักผ่อนวันหยุดยาวที่เกาะคาปรีในอิตาลี  พร้อมคำแนะนำเคร่งครัดให้ลืมเรื่องการเป็นบอดี้การ์ดและทิ้งอาวุธไว้เบื้องหลัง  เขาเพียงเพื่อผ่อนคลายและค้นพบ “ตัวตนที่แท้จริงภายใน”  ของเขาอีกครั้ง

แต่แล้วมือปืนรับจ้าง “ดาเรียส คินเคอิด” ชายผู้หมดความนิยมอย่างมาก จนแทบทุกคนที่เขาเคยพบพานปรารถนาให้เขาตายไปซะ ถูก “คาร์โล” หัวหน้ามาเฟียชิงตัวไปในระหว่างทริปฮันนีมูนสุดโรแมนติกของเขาในอิตาลี  และน่าแปลกที่เขาส่ง “โซเนีย” ภรรยาอารมณ์ผันผวนของเขาให้ไปหา “ไบรซ์” เพื่อขอความช่วยเหลือ ทั้งสองประสบความสำเร็จในการเข้าช่วย “ดาเรียส” โดยทิ้งความย่อยยับไว้เบื้องหลัง แต่ว่า “คาร์โล” ต้องจ่ายเงินให้กับคนที่ใหญ่กว่า  และที่แย่ไปกว่านั้นคือ พวกเขาทำผิดพลาดอย่างไม่ตั้งใจ โดยเข้าไปยุ่มย่ามกับองค์การตำรวจสากลที่มีความละเอียดอ่อนมาก  

ขณะที่ “บ็อบบี้ โอนีล (Bobby O’Neill)” ตำรวจสากล เกิดในบอสตันผู้ดุร้าย แหวกแนว และฉุนเฉียวอยู่ตลอดเวลา เป็นผู้นำการสืบสวน และฮีโร่ผู้ไม่เต็มใจ ก็ถูกบังคับให้ช่วยจัดการเรื่องยุ่งเหยิงทั้งหมด

 ณ ซาเกร็บ เมืองหลวงของโครเอเชีย เกิดถูกโจมตีทางไซเบอร์อย่างลึกลับ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นการสาธิตเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นอันตรายยิ่ง ดังนั้นเมื่อชิ้นส่วนลับของฮาร์ดแวร์ทางการทหารถูกขโมยไปด้วย “โอนีล” ก็รู้ว่ามีสิ่งเลวร้ายกว่านั้นมากที่กำลังจะเกิดขึ้น  แต่ “ไบรซ์” และคู่รัก “คินเคด” ได้ลงมือฆ่าแหล่งข่าววงในของ “โอนีล” ทำให้ตอนนี้เขาสูญเสียความเชื่อมโยงในการตามหาผู้วางแผนก่อการร้าย ดังนั้นนักฆ่า บอดี้การ์ด และนักโทษหญิง จึงต้องก้าวเข้ามา

การเข้ามามีส่วนร่วมของ “ไบรซ์” ทำให้เขาต้องเผชิญ “ปัญหาครอบครัว”  และต้องหันไปหาความช่วยเหลือจากพ่อที่เขาทั้งยกย่องและหวาดกลัว ส่วน “โซเนีย” ก็พบว่าบางครั้งการทิ้งแฟนเก่าที่คบกันมายาวนาน มีผลที่ไม่น่าอภิรมย์และใหญ่หลวงนัก

ผู้กำกับ  ฮิวจ์ส  เพิ่มความเร่งเร้าลงในบทภาพยนตร์  “ไรอันผู้น่าสงสารต้องผ่านบทที่หินสุด ๆ ของ’ ‘ไมเคิล ไบรซ์’ ผู้ต้องทนทุกข์ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม  ไม่มีอะไรเป็นไปในทางที่น่าโปรดปรานเลย และนี่คือกฎหลักของเรื่องเมื่อผมลงมือเขียนบท  หากภาพยนตร์เรื่องแรกทำให้เขาต้องเข้ารับการบำบัด ภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้เขาต้องไปโรงพยาบาล ”

ด้าน  ไรอัน เรย์โนลด์ส แสดงความเห็นว่า “ดูเหมือนว่าหน้าของผมถูกเครื่องตัดหญ้าฟันเข้าให้!  เกือบทุกฉากมีเหตุการณ์น่ากลัวเกิดขึ้นเสมอ” แต่ ฮิวจ์ส สาบานว่าเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมในตัวนักแสดงหนุ่มและกล่าวขำ ๆ ว่า “ไรอัน เรย์โนลส์มีครบทุกอย่าง เขามีพรสวรรค์อย่างมหาศาล หน้าตาหล่อเหลา และเราได้สร้างมิตรภาพที่ดีในการทำงานร่วมกันในภาพยนตร์เรื่องแรก  แต่ไม่รู้ทำไมผมแค่ชอบการแสดงผาดโผนที่ทำร้ายไรอัน ในชีวิตจริงคุณทำร้ายคนอื่นไม่ได้ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่เห็นได้ชัดว่าเมื่อคุณสร้างภาพยนตร์ คุณเพียงแค่ใส่มันลงในสคริปต์แล้วคุณก็สามารถให้รถพุ่งชนคนได้”

เมื่อพูดถึงบทบาทนี้ของเขา  ไรอัน เรย์โนลด์ส ดูเหมือนจะไม่สนใจต่อความเสียหายนัก เมื่อพิจารณาว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของความมันส์  “อารมณ์ขันและพฤติกรรมไร้สาระ เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวโยงกันของหนังเรื่องนี้ และโดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบและยอมรับมันทั้งหมด และผมยังชอบหัวเราะเยาะตัวเอง  ภาพยนตร์เป็นวิธีหลบหนีความจริงได้เป็นอย่างดี  ผมสบายใจมากในโลกแห่งภาพยนตร์นี้และผมก็โชคดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งครับ” พระเอกหนุ่มเผย

 “ไบรซ์”  เป็นคนที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ที่แย่ที่สุดคือผลงานระดับสามดาวของเขา แต่เขาก็ยังคงพยายามทำในสิ่งที่ถูกต้อง  และเราได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ “ไบรซ์” ทั้งภูมิหลังครอบครัว ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับพ่อของเขา และความคลั่งไคล้เข็มขัดนิรภัยของเขา

เคมีสุดบันเทิงและวายป่วงของ “เรย์โนลด์ส” และ “แจ็คสัน”    

ต้องบอกว่าเคมีของ  ไรอัน เรย์โนลด์ส  และ  ซามูเอล แอล แจคสัน    ทั้งแอคชั่นและการรับส่งมุกกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์  ถือเป็นเสน่ห์ของเรื่องนี้อย่างแท้จริง  ซึ่งการทะเลาะระหว่างนักแสดงทั้งสองที่เล่น  “ไบรซ์”  และ “คินเคด”  นั้นเป็นกุญแจสำคัญในโครงเรื่อง  เช่นเดียวกับบทสนทนาส่วนใหญ่ที่ได้รับการปรับทันที 

เรย์โนลด์ส  พูดถึงการทำงานกับ แจ็คสัน  ว่า “เป็นเรื่องดีที่เสียงแตกและไหม้เกรียมครับ  เราแค่แสดงตัวเองและทำสิ่งที่เราต้องการ”  ซามูเอล แอล. แจ็คสัน  เสริมว่า “เราเข้าใจว่าเรื่องตลกคืออะไร อารมณ์ขันคืออะไร  และเราทั้งคู่รู้ว่าเราต้องการเห็นตัวเองทำอะไรบนหน้าจอ  ไรอันกับผมเป็นคู่ที่เหมาะสมที่จะเล่นด้วย มีความรู้สึกและจังหวะที่เข้ากัน มีความเข้าใจที่ตลกขบขันของสิ่งที่เราพยายามจะทำ  และใช่! แม้มีเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้น แต่คุณต้องการให้ผู้ชมรู้สึกสนุกกับมัน รับรู้และเชื่อมโยงกับมันอย่างแท้จริง  และผู้ชายมักจะพยายามแสดงออกว่าแข็งแกร่งกว่าที่เป็นจริง  และเราทั้งคู่ต่างก็เข้าใจวิธีที่จะทำให้สิ่งต่าง ๆ  เหล่านี้ออกมาได้ดี เราไม่กลัวที่จะล้อเลียนตัวเอง”

รวม ๆ แล้ว “ดาเรียส คินเคด” เป็น “ต้นแบบ”  ในหลาย ๆ ด้าน นอกจากการลอบสังหาร!  เขาทั้งเท่ ตลก ฉลาด คิดเร็ว ทำงานได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ สบายใจในความเป็นตัวเอง ไร้ซึ่งความเสียใจ และเขารักภรรยามากจริงๆ 

แจ็คสัน  หัวเราะก่อนบอกว่า  “เราทุกคนไม่อยากเป็นผู้ชายแบบนั้นเหรอ?  เขาเป็นคนที่ตระหนักในตัวเองและโดยพื้นฐานแล้วเป็นคนที่มีความสุขอย่างแท้จริง  เขาได้แต่งงานกับเนื้อคู่ของเขาและมีความสุขกับงานของเขา  การแสดงบนหน้าจอเป็นเรื่องสนุก และผมรู้สึกโดนเอาใจได้ร่วมงานกับซัลมา ฮาเย็คทุกวัน  เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้ไม่ได้เป็นเพียงนักฆ่ามือฉมังที่ไร้ความปรานี แต่เขาคือคนที่มีทุกอย่างครบถ้วนเข้าไว้ด้วยกัน และตระหนักถึงความสำคัญของความรักและความสัมพันธ์ที่เขามี  และว่ากันตามพื้นฐานแล้ว เขาแบ่งปันความรู้มากมายให้แก่ ‘ไบรซ์’ ด้วยซ้ำ”

“โซเนีย”  เติมความแซ่บยิ่งกว่าเดิมให้กับเรื่องราว

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความเป็นสามแพร่งอย่างแท้จริง โดย ซัลมา ฮาเย็ค รับบทตลก แอ็คชั่น และด้นสด ควบคู่ไปกับหนุ่มๆ  “โซเนีย” เป็นหญิงสาวรุ่นเดอะ ที่ยังคงความเซ็กซี่อย่างเปิดเผยชัดเจน  และ ฮาเย็ค หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเธอจะพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้หญิงที่เข้มแข็งสามารถคงความความมีเสน่ห์ไว้ได้ในทุกช่วงอายุ  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการใช้คำสบถอย่างเห็นภาพของเธอที่พ่นออกมาไม่ยั้งเป็นชุด ๆ ยังทำให้แม้แต่สามีของเธอถึงกับสะดุ้ง แต่กระนั้นเธอก็มีความซับซ้อนทางอารมณ์เช่นกัน  ถึงแม้เธอจะทิ้งซากศพและความเสียหายไว้หลังภารกิจอยู่บ่อย ๆ  แต่ด้วยสัญชาตญาณของความเป็น “แม่” ที่รุนแรงทำให้เธอยังคงโหยหาการมีลูก ครอบครัว และความมั่นคง 

ฮาเย็ค เผยว่า “ฉันรักตัวละครของฉันมาก!  ฉันภูมิใจที่สร้างเธอขึ้นมา เธอบ้ามากแต่ก็ไม่ได้บ้าแบบมั่วซั่ว ฉันเลือกอย่างเฉพาะเจาะจงมากเกี่ยวกับตัวเลือกรูปแบบในการแสดง  บท ‘โซเนีย’ เต็มไปด้วยความขัดแย้ง แต่ฉันมีคัมภีร์ส่วนตัวใช้วิเคราะห์ว่าเธอคิดอย่างไร และความขัดแย้งต่าง ๆ เหล่านั้นก็ดูสมเหตุสมผลสำหรับฉัน  สิ่งหนึ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับ ‘โซเนีย’ คือกระบวนการคิดของเธอ มันแปลก แต่ก็มีความสอดคล้องในความแปลกของมัน  ฉันสนุกมากที่ได้ทำงานนีัและฉันรู้สึกขอบคุณมากที่แพทริคที่ไว้วางใจฉันค่ะ”

การได้ทำงานกับนักแสดงร่วมของเธอก็เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับ ฮาเย็ค อย่างมากเช่นกัน  “ฉันกับแซมคลิกกันเร็วมาก  เราสองคนเคมีเข้ากันดี เรามีพลังและความเข้าใจซึ่งกันและกัน ฉันชอบเรื่องราวของ ‘ดาเรียส’ และ ‘โซเนีย’  การที่ทั้งคู่ยังรักกันอยู่มาก ไม่ใช่เพียงแค่ตกหลุมรักในครั้งแรกครั้งเดียว และฉันก็พบว่ารักแท้นี้ทำให้ภาพยนตร์แอคชั่นมีความสดชื่น  ฉันไม่ได้เข้าฉากกับไรอัน ในภาพยนตร์เรื่องแรก ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีและน่าดีใจที่เราได้แสดงร่วมฉากกันบ่อยมาก  ฉันเคารพพรสวรรค์ของไรอันและแซมมาก ฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายจากพวกเขา และได้เรียนรู้เกี่ยวกับตนเองจากการทำงานร่วมกับพวกเขา ดังนั้นฉันจะมีความทรงจำดีๆเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ตลอดไปเพราะพวกเขา”

เจาะลึก “ปาปาโดโพโลส”  มิตรหรือศัตรู

แพทริค ฮิวจ์ส สนุกกับการคัดเลือกนักแสดงสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างมากและกล่าวว่า “ผมคิดว่าถ้าคุณได้นักแสดงชื่อดังมาเล่นในบทที่รองลงมา นั่นจะทำให้ผู้ชมได้รับประสบการณ์มากขึ้น”  และเขาก็ตั้งเป้าไว้สูง โดยต้องการให้อันโตนิโอ แบนเดอรัส  มารับบทจอมวายร้าย มหาเศรษฐีชาวกรีกนาม “อริสโตเติล ปาปาโดโพโลส” และ แบนเดอรัส ชื่นชอบในบทบาทนี้  “ผมชอบความคิดที่จะเล่นบทตลก และผมชอบความคิดที่จะเล่นเป็นตัวร้าย เพราะพวกตัวร้ายนี้สามารถจะทำอะไรก็ได้จริงๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าตัวละครเป็นพวกจิตวิปริต อย่าง ‘ปาปาโดโพโลส’ คนนี้ เขาเป็นตัวอุปมาอุปไมยของพวกฝ่ายขวาทุกคนในยุโรปที่ไม่เห็นด้วยกับสหภาพยุโรป  เขาต่อสู้เพื่อสิทธิของชาวกรีก แต่ผมไม่คิดว่าในชีวิตจริง พวกฝ่ายขวานี้ต้องการตัวแทนอย่างเขา  ในที่สุดตัวละครนี้ก็เพียงแค่ต่อสู้เพื่อตัวเอง แต่คุณจะได้เรียนรู้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นคนที่ดีกว่านี้  ตอนนี้เขาแค่ขมขื่นและเลวร้ายมาก”  แบนเดอรัส เปิดใจ

“ปาปาโดโพโลส”   มั่นใจในตัวเองและเต็มไปด้วยแรงแค้น บ่อเกิดของทุกสิ่งเลวร้ายในเรื่องนี้  เพื่อนชาวกรีกของเขาก่อจลาจลตามท้องถนน เพื่อต่อต้านการคว่ำบาตรของสหภาพยุโรป ดังนั้นเขาจึงแก้แค้นอียูอย่างจริงจัง และแม้แต่ความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวกับ “โซเนีย” เมื่อหลายปีก่อน ทำให้เขาต้องหาทางแก้แค้น  เขาเป็นคนที่คุณกล่าวได้ว่าออกจะ “อารมณ์ร้อนเกินเหตุ”  รูปลักษณ์ของเขาแสดงให้เห็นการผสมผสานระหว่าง ลิเบอร์เรซ (Liberace) , สการ์เฟซ (Scarface) และ อริสโตเติล โอนาซิส (Aristotle Onassis)  พร้อมกับทรงผมสีบลอนด์ปอมปาดัวร์ และผิวสีแทนส้ม เขาเป็นคนพิลึกในหลาย ๆ ด้าน แต่จริงๆ แล้วที่คุณเห็นบนหน้าจอนั้นคือเวอร์ชั่นที่สงบลงมาแล้วด้วยซ้ำ

แบนเดอรัส เผยว่า “เดิมทีผมจะแสดงให้เขาตลกมากกว่านี้ แต่ในกองถ่าย ตัวละครเริ่มอันตรายและรุนแรงขึ้นมาจริงๆ และผมก็รู้ว่าแบบนั้นคือสิ่งที่ใช่  เขามีอำนาจ สติปัญญา เงินทอง และกองทัพลูกน้องน่ารังเกียจที่ลงมือทำงานให้เขา  และตอนนี้ก็มีคนแบบเขาอยู่ทั่วโลก”

“ไบรซ์คนพ่อ”

นอกจากนี้ยังมีพ่อของ “ไมเคิล ไบรซ์” คนที่ “ไบรซ์” ใฝ่ฝันจะเป็น พ่อของเขาคือที่มาของความรู้สึกไม่มั่นคงและปัญหาการยอมรับตัวตนของเขา  มอร์แกน ฟรีแมน รับบท “ไบรซ์คนพ่อ” รัฐบุรุษอาวุโสด้านบอดี้การ์ดคุ้มกันผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง แม้ว่าจะถูกเผยในไม่ช้าว่าเขามีความเป็นพ่อและจิตวิญญาณสูงส่งน้อยกว่าที่ดูเหมือนจะเป็นในตอนแรกมาก  ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลูกชายเป็นเรื่องยาก  บิดเบือน และไม่ซื่อสัตย์อย่างยิ่ง  แต่ ฟรีแมน ก็ยังคงชอบตัวละคร “ไบรซ์ผู้พ่อ”  นี้ “ผมชื่นชมคนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร และมันยากที่จะเล่นเป็นตัวละครหากคุณไม่ชอบ”  ฟรีแมน กล่าว

เดิมทีนักแสดงระดับตำนานผู้นี้สนใจภาพยนตร์เรื่องนี้ จากการที่เคยมีโอกาสร่วมงานกับหนึ่งในนักแสดงนำ ฟรีแมน เปิดใจว่า “แซม แจ็คสัน สุดยอดมาก!  เราเคยร่วมงานกันที่นิวยอร์กในปี 80 ตอนที่เขายังเด็กและเราก็ไม่ได้ร่วมกันอีกเลยตั้งแต่นั้นมา  ผมเคยดูหนังเกือบทุกเรื่องที่เขาแสดง และความเป็นนักแสดงของเขานั้นเฉียบมาก เขาดูน่าเชื่อเสมอไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ผมไม่รู้จักไรอันเป็นการส่วนตัว ยกเว้นจากผลงานของเขา และนั่นก็น่าเชื้อชวนเพียงพอแล้ว เขาเป็นคนที่ลื่นไหล เป็นคนง่าย ๆ แต่ทุ่มเทมากในกองถ่าย และนั่นคือสิ่งที่แยกแยะนักแสดงที่ดี  ส่วนซัลมา ผมสนุกกับการทำงานกับนักแสดงทุกคนที่สนุกกับการทำงาน  และคุณบอกได้เลยว่าเธอเป็นเช่นนั้นครับ”

“บ๊อบบี้ โอนีล” คนดีจอมเกรี้ยวกราด

คนดีเพียงคนเดียวที่สามารถรับมือได้จริงกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น คือเจ้าหน้าที่ตำรวจสากล “บ๊อบบี้ โอนีล” ที่รับบทโดย แฟร้งค์ กริลโล  สำหรับ “โอนีล” มีอารมณ์ขันที่ออกจะแย่มาก เขาเต็มไปด้วยความคับข้องใจและชอบเสียดสี และยังชอบทำให้คนอื่นสับสน  กริลโล กล่าวว่า “ผมเล่นเป็นเขาด้วยเสียงที่สูง เขาเกือบจะกรีดร้องตลอดเวลา  เขาเป็นคนขี้โมโห เขาเกลียดยุโรปแต่ก็กลับติดอยู่ที่นั้น  เขาจะทำทุกอย่างที่ต้องทำเพื่อที่จะได้กลับบ้านให้เร็วที่สุด”  และนั่นรวมถึงการแหกกฎบ้างในบางครั้ง ซึ่งทำให้ “คราวลีย์” เจ้านายของเขาขุ่นเคือง

กริลโล  กล่าวต่อว่า “สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับ ‘โอนีล’ คือการที่เขาไร้ซึ่งความสงสาร และแม้จะไม่พอใจอยู่เสมอและมักตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวอยู่ตลอด เขาก็มีด้านอ่อนโยนและเปราะบางที่ทำให้เขาน่าชื่นชอบได้  บทนี้สนุกมากเพราะผมเล่นเป็นคนเดียวที่จริงจังท่ามกลางความโง่เขลาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นครับ” 

สมทบด้วยนักแสดงคุณภาพคับคั่ง

ทัพนักแสดงเสริมก็คุณภาพเช่นกัน    แคโรไลน์ กูดดอลล์ รับบท “เจ้าหน้าที่องค์การตำรวจสากล” เจ้านายของ “โอนีล” ที่  และ รีเบคก้า ฟรอนต์ ในบท “นักบำบัดโรค” ให้แก่ “ไบรซ์” มาอย่างยาวนาน  ลูกสมุนที่น่ารังเกียจหลายคนของ “ปาปาโดโพโลส” นำโดย ดรีมทีมแห่งความชั่วร้าย ได้แก่ กาเบรียล ไรท์ ในบท “เวโรนิก้า” หญิงสาวผู้โหดเหี้ยมนิสัยน่ารังเกียจ โดยการทิ้งร่องรอยของตัวเองไว้บนเหยื่อของเธอ  ,  คริสตอฟเฟอร์ คามิยาสุ  รับบทนักฆ่าหนุ่มนาม “เซนโต” ชายที่ทำให้แม้แต่ “คินเคด” รู้สึกหวาดเสียว และ ทอม ฮอปเปอร์ แสดงเป็น “แมกนัสสัน” ผู้คุ้มกันที่ “ไบรซ์” ชื่นชมอย่างมาก แต่เขาก็มีเซอร์ไพรส์ที่น่ารังเกียจเช่นเดียวกัน 

ฮอปเปอร์ กล่าวว่า “ผมคิดว่าภายในลึก ๆ  ‘แมกนัสสัน’ เป็นคนโรคจิตใช้ได้ทีเดียว และสิ่งที่ผมชอบตรงนี้ก็คือเขามีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อตลอดเวลา และมีความเป็นชาวอังกฤษมาก ๆ เกี่ยวกับทุกอย่าง  แต่จริง ๆ แล้วเขาโหดเหี้ยม  เกือบจะแบบว่าเขาไม่อยากทำร้ายความรู้สึกคุณนะ แต่เขาจะชกหน้าคุณอย่างมีความสุข” 

อลิส แมคมิลลัน รับบท “ไอล์สัน” เจ้าหน้าที่ตำรวจสากล และล่ามผู้อดทนทรมานมายาวนานจากการดูถูกโดย “โอนีล” ที่ไม่พอใจอยู่ตลอดเวลา  เบลค ริทสัน รับบทอาชญากรไซเบอร์อัจฉริยะแต่ชั่วร้ายนาม “กุนเธอร์”  และ ริชาร์ด อี. แกรนท์ กลับมาในบท “ไซเฟิร์ท” ผู้คลั่งไคล้ความชั่วร้ายที่มักปรากฏตัวผิดที่ผิดเวลา  แกรนท์ หัวเราะก่อนเผยว่า “ผมชอบไซเฟิร์ทมั้ย?  ชอบสิ เพราะเขาไม่มีความรับผิดชอบใดๆ  และชีวิตของผมก็ดูจะเต็มไปด้วยอะไรแบบนั้น และการเล่นเป็นใครสักคนเช่นนั้นและรวยกว่าโครเอซุส ช่างเป็นเรื่องน่ายินดี!’

ออกเดินทาง สำรวจงานสร้างและสถานที่

สำหรับ “THE HITMAN’S WIFE’S BODYGUARD”  ถ่ายทำในโครเอเชีย อิตาลี สหราชอาณาจักร สโลวีเนีย และสตูดิโอ Nu Boyana ของ “มิลเลนเนียม” ในโซเฟีย บัลแกเรีย งานในสตูดิโอส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของการถ่ายทำที่ลอนดอน  โดยผู้ออกแบบงานสร้าง รัสเซลล์ เดอ โรซาริโอ  หลังจากสร้างผลงานในภาพยนตร์เรื่องที่แล้ว เดอ โรซาริโอ คุ้นเคยดีกับการที่ฉากที่เขาสร้างขึ้นมาถูกทำลายจากการต่อสู้  การดวลปืน ระดมยิง และการทำลายล้างต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตามเส้นทางของ “ไบรซ์”  “คินเคด” และ “โซเนีย”  โดยการปรึกษาหารือกับผู้กำกับและฝ่ายสตั๊นท์ ต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า สิ่งใดจะถูกทำลาย ดังนั้นในภาพยนตร์เรื่องนี้ ฉากจำนวนมากจึงต้องได้รับการออกแบบมาให้แตกหักได้อย่างปลอดภัยและง่ายดาย

ฉากที่สร้างในลอนดอนรวมถึงการตกแต่งภายในของเรือยอทช์สุดหรูราคาล้านเหรียญของ “ปาปาโดโพโลส” ซึ่งต้องสะท้อนการตกแต่งภายในของเรือรุ่นที่ใช้จริงในโครเอเชีย จินตนาการสมจริงคล้าย ๆ กันนี้ถูกนำมาใช้สำหรับฉากไนต์คลับและบ้านไร่องุ่นของ “ไบรซ์” ผู้พ่อ ซึ่งฉากทั้งสองนี้มีต้นแบบสถานที่จริงในโครเอเชีย แต่ทว่าความทะเยอทะยานที่สุดแล้วคือฉากถนนในอิตาลีที่เต็มไปด้วยบทบู๊แอ็คชั่น  พร้อมด้วยร้านรวงริมทางและการตกแต่งภายในเต็มขั้น ซึ่งรวมถึงร้านเจลาโต้และโรงเตี๊ยมในยุค 50 ที่จะถูกพังยังในระหว่างการต่อสู้  แผนกศิลปะยังได้ตกแต่งอาคารสถานที่หลายแห่ง เช่น ที่ลอนดอน ได้แก่ศาลากลางวูลวิช เพื่อใช้เป็นฉากด้านในปราสาทของ “ปาปาโดโพโลส” และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติให้เป็นฉากพิธีรับมอบรางวัลในความฝันของ “ไบรซ์”

โรวินจ์ ซึ่งเป็นเมืองชาวประมงที่เก่าแก่และมีเสน่ห์ของโครเอเชียบนชายฝั่งอิสเตรียน ถูกเลือกเป็นฉากสถานที่ในชายฝั่งอามาลฟีของอิตาลี  และข้ามพรมแดนอิตาลีไปยังเมืองทรีเอสเต้อันเก่าแก่ กองถ่ายได้ถ่ายทำที่ปราสาทมิรามาเร  (Miramare) อันสวยงามที่อยู่ภายใน  Trieste Prefettura อันยิ่งใหญ่ตั้งอยู่บน Piazza Unita 

 ฉากผาดโผน  ทวีดีกรีความมันส์

ผู้กำกับรองและผู้ประสานงานด้านการแสดงผาดโผน  เกร็ก พาวเวลล์  เป็นอีกคนที่กลับมาร่วมงานจากภาคแรก และแน่นอนว่าเขามีแผนการทำงานสำหรับ  “THE HITMAN’S WIFE’S BODYGUARD”  ความท้าทายในภาพยนตร์เรื่องนี้สำหรับ  พาวเวลล์  คือการแสดงผาดโผนคือทำให้สิ่งที่ผู้ชมได้เห็นมีความสดชื่น น่าตื่นเต้น และสนุกสนาน   เขากล่าวว่า “ด้วยแพทริคและจินตนาการของเขา ทุกอย่างออกมาค่อนข้างง่ายทีเดียว  เราคุยกันทุกวัน ถ้าจำเป็นเราจะอ่านกระดานเรื่องและประกอบไปด้วยกัน  มีการพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดกันมากมายและแพทริคก็จะได้คิดค้นในสิ่งที่เขาอยากจะลอง”

ทิศทางของการกำกับรองของ พาวเวลล์ เน้นไปที่ฉากสตั๊นท์กลางแจ้งขนาดใหญ่ที่มียานพาหนะและเรือเป็นหลัก  โดยมีให้เลือกมากมายว่าจะทำอะไรอย่างไร แต่สำหรับเขา ฉากที่น่าประทับใจที่สุดคือการเซ็ทฉากไล่ล่าตอนที่รถตู้ช่างประปาที่บรรทุกท่อมาเต็มถูกไล่ตามโดยรถเรนจ์โรเวอร์ขับหนีลงมาตามบันได  ฉากนี้ไว้ใช้สำหรับเหตุการณ์สองครั้ง ครั้งหนึ่งสำหรับฉากความฝันของ “ไบรซ์” ที่กำลังขับรถ และอีกครั้งในความเป็นจริงขณะที่ “คินเคด” กำลังเหยียบคันเร่ง  รถตู้มักไม่ค่อยถูกมองเป็นรถสตั๊นท์ความเร็วสูงในอุดมคตินัก แต่คันนี้กลับขับหนีรถสี่ล้อได้  ฉากผาดโผนนี้เซ็ทที่ท่าเรือเมืองริเยกาของโครเอเชีย และ พาวเวลล์ ทำให้ทีมของเขาประหลาดใจด้วยการเลือกขั้นบันไดโรมันโบราณ 

“เราได้รับอนุญาตให้ถ่ายทำ และเราปกป้องขั้นบันอย่างมากที่สุดเท่าที่ทำได้ จากนั้นเราก็ให้รถตู้และเรนจ์โรเวอร์ กระโดดลงมาจากข้างบน และรถตู้กระโดดได้แย่มาก!  ผมดีใจมากตอนที่พวกมันลงมาถึงด้านล่างเพราะหลังจากลอยลงมาผมค่อนข้างเชื่อว่าล้อจะหลุดออกจากรถตู้แน่ๆ!  ฉากการไล่ล่าทางรถค่อนข้างท้าทายอยู่เสมอ เรามักอยู่ใต้ข้อจำกัดมากมายเนื่องจากถนนที่แคบและพื้นผิวที่ปูด้วยหินขึ้นเงาที่ลื่นสิ้นดีโดยเฉพาะตอนที่เปียก  ดังนั้นบางทีในจุดที่เราอยากจะขับรถเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงเราก็ทำไม่ได้  ความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงไม่ร้ายแรงเท่าไร นอกเหนือจากการต้องเช็ดโต๊ะและเก้าอี้สองสามตัว”  ผู้กำกับรองและผู้ประสานงานด้านการแสดงผาดโผนกล่าว

ฉากทางน้ำเยิ่นยาวที่นำไปสู่การเผชิญหน้ารุนแรงของ “ไบรซ์”  “คินเคด” และ “โซเนีย” กับ “ปาปาโดโพโลส” และลูกสมุนบนเรือยอชท์ ผู้ชมจะต้องไม่ลืมความโกลาหลอันน่าสะพรึง การกราดยิงปืน และระเบิดตูมตาม  ฉากนี้ถ่ายทำในท่าเรือที่เงียบสงบและสวยงามของเมือง โรวินจ์  การประสานงานและการจัดแบ่งเวลาของลำดับเหตุการณ์ต่างๆเป็นสิ่งสำคัญ  “ไบรซ์” และ “คินเคด” รีบเร่งเข้าขัดขวาง “ปาปาโดโปโลส” เพื่อช่วยเหลือ “โซเนีย” โดยการขับเรือสปีดโบ๊ทไล่ตามอย่างน่าตื่นเต้น ผ่านด่านเหล่าอันธพาลติดอาวุธท้องถิ่นเพื่อไปให้ถึงสถานที่เกิดเหตุหลัก นั่นก็คือเรือยอทช์ของ “ปาปาโดโปโลส”  สร้างความเสียหายอย่างมากมายระหว่างทาง

ฉากผาดโผนนี้ประกอบด้วยเรือเร็วหลายลำ ลูกสมุนตัวร้ายบนเจ็ตสกี เรือรายทางโชคร้ายที่ข้าวของระเบิดกระจัดกระจาย และนักประดาน้ำติดอาวุธบนกระดานบินน้ำ  ฉากนี้ใช้เวลาถ่ายทำหลายวันกว่าจะสมบูรณ์  พาวเวลล์ ให้ความเห็นว่า “มันสนุกจริงๆ  เราวาดแผนที่บนผืนน้ำและเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆแทบทุกวัน เพิ่มการไล่ล่าและใส่โน่นนี่เข้าไปเพื่อทำให้มันน่าตื่นเต้น คาดไม่ถึง และดูทันสมัย”

ทีมสตั๊นท์อันยอดเยี่ยม

แน่นอนว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีฉากต่อสู้ด้วย เช่น การชกต่อย การดวลปืนดวลมีด ฉากปล้ำสู้กัน มีหมดทุกอย่าง  และผู้ได้รับสิทธิ์นี้คือ อดัม ฮอร์ตัน ผู้ประสานงานตัวแสดงแทน เขาเผยว่า  “เราอนุญาตให้นักแสดงแสดงเองมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ตราบเท่าที่ปลอดภัย  แน่นอนว่าไรอันเก่งมากในเรื่องนี้  เขามีความคิดสร้างสรรค์มากและมีข้อมูลมากมาย  และซัลมาเองก็แสดงเองเยอะมากเช่นกัน เธอเป็นคนที่สนุกสนานมากในการทำงานด้วย  แต่ก็มีหลายๆ สิ่งที่คุณจำเป็นต้องใช้ตัวแสดงแทน และนั่นไม่ใช่แค่การแสดงโลดโผนเท่านั้นแต่ยังเกี่ยวกับการสวมบทบาทแทนด้วย พวกเขาต้องดูเหมือนนักแสดงที่แสดงแทน มีอากัปกิริยาและสำบัดสำนวนของตัวละคร ท่าทางที่พวกเขาเดินและภาษากายของพวกเขาต้องดูน่าเชื่อและกลมกลืน”

การสร้างการต่อสู้ขึ้นมาต้องใช้การวางแผนอย่างมาก  “คุณต้องคำนึงถึงบุคลิกลักษณะและกิริยาท่าทาง สิ่งที่พวกเขาได้ผ่านมาจนถึงจุดนั้นของเรื่องและเรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไร ความเชื่อมโยงกับคนที่พวกเขากำลังต่อสู้ แรงจูงใจของพวกเขาคืออะไร”  ฮอร์ตัน  กล่าว และในขณะเดียวกัน ทีมงานสตั๊นท์ก็ทำงานร่วมกับผู้ออกแบบฉากเพื่อให้แน่ใจว่าฉากและอุปกรณ์ประกอบฉากตอบสนองได้อย่างปลอดภัยตามที่ควรจะเป็น คอนเฟิร์มกับเจ้าหน้าที่ชุดเกราะเพื่อให้แน่ใจว่าอาวุธที่ใช้ถูกต้องและปลอดภัยต่อการใช้งานในพื้นที่  กับทีมเอฟเฟคเพื่อความปลอดภัยและจังหวะเวลาที่ถูกต้องต่อการใส่เอฟเฟคที่จำเป็น  พูดคุยกับฝ่ายเสื้อผ้าเพราะเครื่องแต่งกายจำเป็นต้องให้นักแสดงและนักแสดงแทนเคลื่อนไหวได้ตามต้องการ และคอนเฟิร์มทั้งหมดกับผู้กำกับเพื่อให้แน่ใจว่าเขาได้ในสิ่งที่ต้องการ

สำหรับ ฮอร์ตัน ฉากต่อสู้ที่ท้าทายที่สุดที่ทั้งยาวและซับซ้อนคือฉากการประลองครั้งใหญ่บนเรือยอทช์ของ “ปาปาโดโปโลส”  เขาเผยว่า “ฉากต่อสู้ทุกฉากล้วนมีความท้าทาย แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากนี้เพราะมีการต่อสู้แยกกันทั้งหมดหกครั้งซึ่งแต่ละฉากมีปฏิสัมพันธ์และโต้ตอบกัน  ดังนั้นการประติดประต่อเรื่องราวเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ชมไม่หลงทางจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก  เรายังต้องแน่ใจว่าลำดับต่างๆที่วางไว้ใช้ได้สำหรับผู้ตัดต่อก่อนที่จะถ่ายทำจริง มีการวางแผนที่ยากลำบากมากมายเพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินการทั้งหมดจะออกมาได้ผลในฉากที่ค่อนข้างแน่นขนัด”  และท้ายที่สุดการวางแผนที่ดีทั้งหมดเช่นนั้นก็ได้ผลอย่างน่าพอใจ

ส่องคลังอาวุธ

อาวุธที่ใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็น่าประทับใจอย่างแรงเช่นกัน  แม้ว่าจะเป็นความจริงที่ว่าสเปรย์พริกไทยและมีดพับที่ “ไบรซ์” พกติดตัวไม่ใช่อาวุธที่อันตรายนัก แต่ในตอนท้ายของเรื่องเขาก็บรรลุการหยั่งรู้บำบัดและเลือกที่จะหยิบปืน Sig226 ขึ้นมา “คินเคด” ใช้ปืนพก Smith & Wesson 44 ปืน IMI uzis  ถึงสองกระบอก  ปืน Sig 226, Glock 17, Glock 19 และปืนพก Heckler & Koch USP  และอาวุธและเครื่องมือสังหารที่ “โซเนีย” เลือกใช้คือปืนกลมือกึ่งอัตโนมัติ CZ Scorpion Evo 3 เช่นเดียวกับปืนพกกึ่งอัตโนมัติ CZ 75 และ เบเร็ตต้า 92f 

ทางฝั่งตัวร้ายเองก็ไม่เบาเช่นกัน  “ปาปาโดโปโลส” มีปืนกล FN MinimiและWildey Magnum อันหรูหราพร้อมด้ามจับสั่งทำพิเศษ นอกจากนี้เขายังได้รับการปกป้องจาก “เวโรนิก้า” ด้วยปืน Glock 26 สองกระบอกของเธอพร้อมกล้องส่องเล็งเป้าแบบเลเซอร์  ไม่ต้องบอกเลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มไปด้วยห่ากระสุนบินว่อนไปทั่ว!

 ฟิตร่างกายให้พร้อม แล้วเตรียมไปร่วมภารกิจสุดมันส์ และวายป่วง ใน Hitman’s Wife’s Bodyguard  ”  กราดกระสุนแห่งความฮาแบบไม่ต้องนับมุก พร้อมกันในโรงภาพยนตร์เร็ว ๆ นี้

ภาพ (PHOTO) : Lionsgate