วันนี้ (30 ก.ค.) รายงานข่าวจาก กลุ่มทรู เปิดเผยว่า ตามที่ทรู ได้ดำเนินการแจ้งความ ในวันที่ 27 ก.ค. และได้มีการแจ้งเจ้าหน้าที่ส่วนกลางให้ตรวจสอบ หลังจากชื่อผู้มาฉีดวัคซีนไม่ตรงกับระบบที่ค่ายมือถือส่งให้ โดยคาดว่ามีการเพิ่มรายชื่อจากระบบส่วนกลาง ซึ่งแยกส่วนจากระบบการจองของค่ายมือถืออย่างชัดเจน แต่กลับพบว่ามีรายงานข่าวอ้างว่า มีการแฮกระบบของโอเปอเรเตอร์ค่ายมือถือ เพื่อขายคิวจองวัคซีนบางซื่อ รวมทั้งบางรายงานมีการกล่าวถึงว่าเป็นระบบทรู นั้น 

บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่า กรณีขบวนการขายคิวจองวัคซีนบางซื่อนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ “ระบบ” การจองฉีดวัคซีนของทรู แต่อย่างใด ไม่มีการแฮกระบบของทรู อย่างที่มีการรายงานข่าวหรือแชร์ข้อมูลส่งต่อทางอินเทอร์เน็ต โดยกระบวนการที่เกิดความผิดปกติที่ปรากฏชื่อเพิ่มขึ้นนั้น เกิดขึ้นจากการมีชื่อเพิ่มเติมในระบบส่วนกลางของศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อมูลการลงทะเบียนผ่านค่ายมือถือแต่อย่างใด ซึ่งข้อมูลจากระบบทรู ที่ส่งให้กรมการแพทย์ รายวัน ล่วงหน้านั้น ถูกต้องตามโควตาที่ได้รับ และเป็นการนำส่งข้อมูลทางเมลไปให้กรมการแพทย์เป็นผู้ตรวจสอบ และนำไปลงระบบเอง

สำหรับกรณีนี้ กำลังอยู่ในระหว่างการสอบสวนผู้ต้องสงสัยว่ามีการนำข้อมูลเพิ่มเติมเข้าสู่ระบบส่วนกลางได้อย่างไร เพราะจากการตรวจสอบมีรายชื่อถูกเพิ่มเข้าระบบช่วง 4 ทุ่ม ซึ่งนำไปเพิ่มในโควตาทรู ซึ่งการเข้าถึงข้อมูลผ่านดาต้าเบสนั้น ไม่ได้ผ่านจากการเจาะระบบโอเปอเรเตอร์ จึงต้องมีการทำความเข้าใจให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสน และทรู เป็นผู้ที่พบความผิดปกติหน้างาน เนื่องจาก 1. ไม่มี  คิวอาร์โค้ด (QR Code) เหมือนทุกคนที่จองผ่านทรู และ 2.ตรวจสอบในระบบของทรู อีกครั้งก็ไม่มีรายชื่อจึงตั้งข้อสังเกตและส่งเรื่องให้ส่วนกลางกรมการแพทย์ตรวจสอบ และเข้าแจ้งความ ซึ่งขณะนี้ยังคงอยู่ในกระบวนการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาผู้กระทำผิดดำเนินคดี

ทั้งนี้ การดำเนินการที่ทางค่ายมือถือสนับสนุนกรมการแพทย์นั้น มีทั้งการสนับสนุนพัฒนาระบบการจอง ผ่านเว็บไซต์และมือถือ การจัดทีมดูแลรับเรื่องการจองคิว การส่ง SMS ยืนยันก่อนวันฉีดวัคซีน รวมทั้งการสนับสนุน ว่าจ้างบุคลากรค่ายละ 100 คน เพื่อไปช่วยปฏิบัติงานอำนวยความสะดวกกับผู้เข้ามาฉีดวัคซีนในแต่ละวัน ทรู จึงได้ว่าจ้างจัดหาเจ้าหน้าที่ Outsource เพื่อไปช่วยงานกรมการแพทย์จำนวน 98 คน ตามที่มีการขอสนับสนุน โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ 1. การปฏิบัติหน้าที่หน้างานภายนอก 30 คน (จุดรับรายงานตัวจุดที่ 1 ทรูเป็นผู้ดูแล)

และ 2. การปฏิบัติงานภายในส่วนงานของกรมการแพทย์อีก 70 คน ซึ่ง 70 คนนี้อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของกรมการแพทย์เอง ซึ่งทรู ได้ว่าจ้างและรับผิดชอบค่าใช้จ่าย 100% แต่ไม่ได้บริหารคนกลุ่มนี้ โดยได้ส่งมอบให้กรมการแพทย์ดูแลตั้งแต่ปลายเดือน พ.ค. 64  ซึ่งในส่วนของการทำงานของคนที่สามารถลงระบบภายในนั้น กรมการแพทย์จะเป็นผู้กำหนด Username และ Password ให้สำหรับผู้ปฏิบัติงานที่อยู่ด้านในกับกรมการแพทย์ ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ Outsource ที่ทรู ส่งมอบไปแล้ว ดังนั้น เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีก และเป็นการป้องกันเชิงรุก

จึงขอให้กรมการแพทย์เพิ่มขั้นตอนการตรวจสอบการมอบหมายสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนกลาง รวมทั้งควรมีกระบวนการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ บริษัทฯ จึงขอเรียนว่า ทุกภาคส่วนมีความตั้งใจจริงที่จะเข้าไปช่วยในภาวะวิกฤติด้วยจิตอาสา และบริษัทได้แจ้งความไปแล้ว และจะดำเนินคดีจนถึงที่สุด เพื่อไม่ให้ผู้ที่เอาเปรียบสังคม หลอกลวงประชาชนชาวไทยในสถานการณ์วิกฤตินี้.