เมื่อวันที่ 20 พ.ค.เวลา 18.30 น. ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง พรรคประชาธิปัตย์ จัดปราศรัยใหญ่ “ทีมสุชัชวีร์ #เราทำได้” รณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ถือเป็นเวทีใหญ่ครั้งสุดท้ายปิดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ให้กับนายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 4 พรรคประชาธิปัตย์ และคณะผู้สมัคร ส.ก. ทั้ง 50 เขต โดยมีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม. และอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นางฮูวัยดีย๊ะ พิศสุวรรณ อุเซ็ง กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ และนายเมธี อรุณ (เมธี ลาบานูน) ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมขึ้นเวทีปราศรัย มีประชาชนร่วมฟังจำนวนมาก ทั้งนี้ นายสุชัชวีร์ เป็นพิธีกรเปิดรายการด้วยตัวเอง แต่ปรากฏตัวผ่านจอโปรเจคเตอร์ฉากหลังบนเวที
ขณะที่เมื่อเวลา 19.30 น. นายอภิรักษ์ กล่าวปราศรัยว่า วันนี้พี่น้องชาวประชาธิปัตย์ได้ร่วมใจกันเป็นหนึ่งในการมาในสถานที่ที่มีความเปลี่ยนที่สำคัญยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย และความเปลี่ยนแปลงของชีวิตของพวกเราทุกคน ทั้งนี้ ตนขอโอกาสเล่าจุดเปลี่ยนในชีวิตของตน 4 เรื่อง ซึ่งจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งที่ 1 ของตนเริ่มที่สถานีรถไฟหัวลำโพง สมัยที่ตอนอายุ 18 ปี เลือกเดินทางจากสถานีหัวลำโพงไปเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และต่อมาได้แต่งงานที่ จ.เชียงใหม่ จุดเปลี่ยนชีวิตครั้งที่ 2 คือตอนอายุ 30 ปี ตนสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2534 ทำให้ตนได้ทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จนถึงทุกวันนี้ จุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งที่ 3 คือการที่พรรคประชาธิปัตย์ให้โอกาสตนลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. เมื่อปี 2547 ซึ่งตอนนั้นตนอายุ 43 ปี ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมาก เพราะตนได้รับโอกาสให้ทำงานเป็นผู้ว่าฯ กทม. รับใช้ประชาชนชาวกรุงเทพฯ ร่วมกับ ส.ก. และสมาชิกสภาเขต (ส.ข.) ของพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงยังทำให้ได้มีโอกาสลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. ครั้งที่ 2 ในปี 2551
นายอภิรักษ์ กล่าวอีกว่า วันนี้จะเป็นอีกวันหนึ่งที่ตนอยากมาเชิญชวนประชาชนชาวกรุงเทพฯ ทุกคนที่จะได้มีโอกาสเลือกเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกท่าน และจะเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของตนครั้งที่ 4 โดยในวันที่ 22 พ.ค.นี้ เป็นโอกาสเลือกเส้นทางที่กำหนดอนาคตของประชาชนและของกรุงเทพฯ ในอีก 4 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์อยู่คู่กับประเทศไทยและกรุงเทพฯ มาตลอดเวลากว่า 70 ปี และเป็นพรรคที่ส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น โดย ส.ก.ของพรรคฯ ทำงานใกล้ชิดกับประชาชนมาตลอดเวลา และวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งผู้สมัคร ส.ก.ทั้ง 50 เขต ซึ่งคนเหล่านี้ได้รณรงค์หาเสียงและสะท้อนปัญหาต่างๆจากประชาชนเพื่อนำมาผลักดันเป็นนโยบายในการเปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้กับประชาชนชาว กทม. นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้คัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการมาอาสาทำหน้าที่ผู้ว่าฯ กทม. คือนายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ซึ่งพร้อมนำประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการมาทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกับผู้สมัคร ส.ก. และมาขับเคลื่อนนโยบายการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย มายกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและเปลี่ยนเมือง
“วันนี้กรุงเทพฯ ต้องการผู้ที่มีวิสัยทัศน์ มีความกล้าที่จะนำเสนอการยกระดับคุณภาพชีวิต ยกระดับเมืองของกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองชั้นนำในระดับโลก รวมถึงเป็นเมืองที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิตของประชาชน ขอให้ทุกคนมาร่วมกันเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯ ไปด้วยกันในวันที่ 22 พ.ค.นี้ ด้วยการเลือก ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หมายเลข 4 และผู้สมัคร ส.ก.พรรคประชาธิปัตย์ ทั้ง 50 เขต ให้มาเป็น ส.ก.ของคนกรุงเทพฯ” นายอภิรักษ์ กล่าว
จากนั้นเวลา 19.50 น. นายสุชัชวีร์ ขึ้นปราศรัยว่า ตลอดเส้นทางตั้งแต่ประกาศตัวลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.วันที่ 13 ธ.ค.2564 เส้นทางนี้หฤโหดและหนักหนาสาหัสจริงๆ แต่ตนขอขอบคุณทุกประสบการณ์ที่สอนให้ตนมีความเข้มแข็ง อดทน และมีสมาธิมากขึ้น เพราะการเป็นผู้ว่าฯ กทม. ต้องใช้พลังกาย พลังหัวใจ สติปัญญา เพราะเป็นงานที่หนักหนาสาหัส และยากจริงๆ ขณะเดียวกัน เส้นทางนี้ทำให้ตนมีโอกาสพบมิตรภาพใหม่ๆ และพบรอยยิ้มของคนกรุงเทพฯ ที่ทำให้ตนเห็นความหวังว่าคนกรงเทพฯ รอว่าสักวันหนึ่งกรุงเทพฯ ต้องเปลี่ยน ทั้งนี้ ตนภูมิใจที่เป็นตัวแทนของพรรคประชาธิปัตย์และได้ร่วมกับผู้สมัคร ส.ก.ทั้ง 50 เขต เดินเส้นทางแห่งอุดมการณ์ในการเปลี่ยนกรุงเทพฯ ซึ่งตนมีคำสัญญาที่จะบอกกับทุกคนว่าจะเป็นผู้ว่าฯ ที่มุ่งมั่นที่สุด และจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด
นายสุชัชวีร์ กล่าวอีกว่า เหตุผลที่มาปราศรัยที่สถานีหัวลำโพง เพราะที่นี้คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนบ้านเมือง ใน 4 ข้อ 1.ไทยเป็นประเทศแรกที่มีรถไฟใช้ในทวีปเอเชีย เมื่อ 126 ปีที่แล้ว 2.ด้านข้างมีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหัวลำโพง ซึ่งในห้องโถงใหญ่มีรายชื่อของคนไทยและต่างชาติที่มาร่วมสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกของประเทศไทย สายเฉลิมรัชมงคล ซึ่งมีชื่อตนอยู่ด้วย 3.ที่นี่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของคนจำนวนมากที่มาจากต่างจังหวัดใช้รถไฟแห่งนี้ไปทำงานและเรียนหนังสือ และ 4.เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนกรุงเทพฯ เราทำได้ ตลอดเส้นทางที่ตนเดิน เรายิ่งเดินยิ่งรักคนกรุงเทพฯ เพราะเรามั่นใจว่าที่แห่งนี้มีศักยภาพเต็มที่แต่ขาดผู้นำคนที่จะมาพัฒนาเมือง ตนมั่นใจในวิสัยทัศน์ที่ตนประกาศก้องและประกาศพร้อมกับ ส.ก.50 เขต 50 คน ของพรรคฯ ที่มีหัวใจเดียวกันมีความชัดเจนตั้งแต่วันแรกคือเราต้องเปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองสวัสดิการที่ทันสมัยเป็นต้นแบบของอาเซียนให้ได้ ด้วยการเปลี่ยนเมืองที่มีปัญหาซ้ำซาก ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ทั้งแก้ปัญหาน้ำท่วม ติดตั้งไวไฟฟรีทั่ว กทม.ยกระดับการศึกษา เพิ่มสวัสดิการครู เพราะเราจะต้องให้ลูกหลานได้ศึกษาดีกว่าเรา หากตนเป็นผู้ว่าเมื่อไหร่จะปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาของโรงเรียน กทม.ให้ไม่แพ้สิงคโปร์ และทำโรงเรียนใกล้บ้านให้ดีที่สุด
“วันที่ 22 พ.ค.นี้ ไม่ใช่เป็นการเลือกนักการเมือง แม้ผู้ว่าฯ มาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นการเลือกคนที่ทำได้ ทำเป็นจริงๆ ผมมีความพร้อมที่สุดด้านวิชาการในการแก้ปัญหาต่างๆ และกรุงเทพฯ ไม่ใช่เวทีการลองผิดลองถูก จึงต้องได้คนที่รู้จริง เข้าใจหลักวิชาการและปัญหาด้านวิศวกรรมเท่านั้น ผมทำมาแล้วทุกอย่าง และมุ่งมั่นทำสุดจริงๆ ถ้าผมเป็นผู้ว่าฯ กทม. ประสบการณ์ทั้งหมดจะทุ่มเทให้พี่น้องประชาชนคน กทม.จริงๆ ไม่ว่าผมจะโดนถาถมด้วยอะไรก็ตาม ผมยืนแน่น ยืนนิ่ง และพร้อมที่จะเดินไปข้างหน้าด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนที่สุด และตนมีพลังมากพอที่จะดูแลประชาชนเพราะกรุงเทพฯ มีปัญหาสาหัสมาก วันนี้ผมพร้อมแล้ว ส.ก.ทั้ง 50 เขต ก็พร้อม ผมเดินมาล้านก้าวแล้วเหลืออีกก้าวเดียวก้าวสุดท้าย วันที่ 22 พ.ค.นี้ ขอให้ทุกคนเข้าคูหากาเบอร์ 4” นายสุชัชวีร์ กล่าว