เมื่อเวลา 11.40 น. วันที่ 6 มิ.ย. ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมเรื่องมาตรการตอบโต้และสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
โดยนายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า วันนี้ได้พูดคุยบนหลักการที่เราจะต้องยึดมั่นในหลักการที่จะปกป้องอธิปไตยของประเทศ และดำรงความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้านให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งมีการพูดคุยกับทุกฝ่าย ที่สำคัญเรามีด้วยกันอยู่ 3 ด้าน 1.ด้านต่างประเทศ 2.ด้านกองทัพ 3.ด้านการสื่อสาร โดยมีการปรับในส่วนนี้ให้ชัดเจนขึ้น ให้มีการร่วมกันทำงานได้มากขึ้น ในส่วนของกองทัพนั้นเรามีความพร้อมในการรักษาเอกราชอธิปไตยของประเทศและบูรณภาพรักษาดิน ซึ่งได้มีการพูดคุยกันอย่างชัดเจนรวมเป็นเนื้อเดียวกัน ส่วนเรื่องการสื่อสารเราได้มีการตกลงแล้ว โดยกระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพหลักในการดูแลและประสานโฆษกกระทรวงกลาโหม โฆษกกองทัพบก และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้ามาร่วมดูแลเรื่องทั้งหมดอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้การเจรจาที่จะเกิดขึ้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ยืนยันอีกครั้งว่า สมช. ได้ตกลงและเห็นตรงกันว่าเรื่องอธิปไตยเป็นเรื่องสำคัญหลักที่เราต้องดูแลเต็มที่ ส่วนเรื่องอื่นเราจะประคองให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีและไม่ให้เกิดการเสียผลประโยชน์ต่อทั้งประเทศเราและประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด เพราะเรายังมีภาระความจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันอีก เพราะความสัมพันธ์ทางชายแดน ในทุกประเทศ อีกทั้งรอบประเทศเรามีในเรื่องของปัญหาชายแดน ปัญหาไซเบอร์ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหายาเสพติด จึงต้องร่วมมือกันทำงานในการจัดการปัญหาเหล่านั้น ฉะนั้นความขัดแย้งเราจึงที่จะต้องจำกัดให้มากที่สุด ย้ำว่ามีการวางมาตรการไว้หมดแล้วแต่ยังไม่ขอชี้แจงรายละเอียด
เมื่อถามว่าในที่ประชุมมีการพูดถึงการปิดด่านชายแดนหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า มีการพิจารณาทุกมาตรการ แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือสภาวะที่สองฝ่ายเห็นว่าควรดำเนินการขั้นไหน แต่ทุกอย่างได้เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว
เมื่อถามย้ำจะออกมาตรการปิดด่าน หรือห้ามคนไทยข้ามชายแดนไปเล่นกาสิโนฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน นายภูมิธรรม กล่าวว่า มีอยู่ในมาตรการแล้ว แต่เชื่อว่าในขณะนี้ไม่สามารถพูดเรื่องเหล่านี้ได้ รอให้เกิดสถานการณ์แต่ละขั้น แล้วเราสามารถหยิบใช้ได้ ซึ่งได้ตกลงในกลไกแล้ว ว่ากองทัพหน้างานเป็นอย่างไร กระทรวงการต่างประเทศยืนยันหลักแบบไหนในการดำเนินการ ซึ่งวันนี้คุยกันทุกหน่วยงานแล้ว
เมื่อถามว่าได้มีการระบุระยะเวลาหรือไม่ ภายหลังจากพบกับรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาให้ถอนกำลังออกไป นายภูมิธรรม กล่าวว่า เราได้ขอให้มีการปรับกำลังไปเหมือนปี 2567 ซึ่งปกติส่วนนั้น มีกำลังที่วางกันอยู่แล้วโดยที่ไม่มีปัญหา ก็ให้ปรับกำลัง ส่วนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ใช้ทวิภาคีกลไกทางกฎหมาย และกลไกทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาแก้ไขปัญหานี้
เมื่อถามว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นมาหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า มีการตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นมา ก็มีการตั้งขึ้นมาดูแลเรื่องนี้ และรายละเอียดจะออกมาเอง ทุกขั้นตอนในการดำเนินการ เราจะคุยกันตลอดกับทางกระทรวงกลาโหม กองทัพ และกระทรวงการต่างประเทศ ในการดำเนินการ ซึ่งมีการวางไว้หมดแล้ว และทำมาแล้วเพียงแต่กระชับให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้นเอง
ส่วนที่การประชุมในวันนี้ ผู้บัญชาการทหารบกไม่ได้เข้าร่วมประชุม จะมีปัญหาหรือไม่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า มีเสนาธิการทหารบกเข้ามา ซึ่งตามปกติก็มาเข้าร่วมอยู่แล้ว เพื่อเป็นตัวแทนกองทัพบก และไม่มีปัญหาอะไร
ส่วนกระแสสังคมที่ออกมาให้รัฐบาลออกมาปกป้องอธิปไตยของประเทศไทย แต่การประชุมในวันนี้ยังคงยืนยันจุดยืนของรัฐบาลในเรื่องสันติวิธี นายภูมิธรรม กล่าวว่า ต้องแยกออกจากกัน คำถามนี้ดูสลับซับซ้อนมากไป การมาเจอกันเมื่อวานของกองทัพ ก็รู้สึกว่าในฐานะที่เราเป็นคนคุมกำลังของกองทัพอยู่ เราอยากหาทางสันติให้ได้มากที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าให้ได้มากที่สุด ซึ่งในภาวะขณะนี้ทุกฝ่ายไม่อยากให้เกิดสงคราม ซึ่งเราเสนอให้ทำกลไกทวิภาคี หรือเจบีซี เราใช้มา 20 กว่าปีแล้ว ก็เป็นประโยชน์มาตลอด ทั้งร่วมมือกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยาเสพติด การค้ามนุษย์ และสร้างเศรษฐกิจ
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ซึ่งกลไกนี้ถูกใช้แล้วดี แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น เราเองทางทหารต้องมีหน้าที่โดยตรงในการปกป้องอธิปไตยของประเทศ ก็ไม่ได้นิ่งเฉย และไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งอะไร เพียงแค่ตรึงกำลัง และใช้กลไกสันติวิธี ซึ่งรัฐบาลจะเป็นผู้ใช้ ได้ตกลงกันไปแล้วว่าหากมีเหตุการณ์ที่มีปัญหาก็ให้บอก และได้กำหนดบุคคลที่ดูแลแต่ละฝ่าย และเมื่อวานนี้คุยในเงื่อนไขที่จะนำไปสู่จุดที่ดี และฝากให้ไปคุยกับในแต่ละประเทศ และให้ผู้นำคุยกัน ซึ่งบรรยากาศที่คุยเมื่อวานก็เป็นไปได้ด้วยดี และในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือคนที่ไป ก็เป็นตัวแทนกองทัพ เมื่อคุยกันแล้วทุกคนก็สบายใจกับข้อสรุป
เมื่อถามว่าทางประเทศไทยก็มีทางลัดในการติดต่อกับฝั่งกัมพูชา ทำไมถึงไม่ใช้คอนเนคชั่นที่มีอยู่ในการติดต่อไป นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องประเทศชาติ และเป็นอธิปไตยของประเทศชาติ ต้องเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรัฐบาลในการดำเนินการ ซึ่งการคุยนอกรอบ ก็มีการทำอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อวานนี้ที่เกิดขึ้นก็เป็นการคุยนอกรอบของตนเองกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา ว่าเราได้ดูสภาพของจุดทั้งหมดแล้ว เข้ามาคุยกัน เราใช้ทุกกลไกที่เสนอมา เพียงแต่ว่าเรื่องการลงข่าว หากมีการนำเสนอที่คลาดเคลื่อน ก็นำไปสู่การตอบสนองที่ไม่ค่อยดี
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ทุกหน่วยตอนนี้ เราทำงานร่วมกัน ซึ่งก็ทำงานร่วมกันตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และขณะนี้กำลังเดินหน้าไปสู่จุดที่เราพึงประสงค์ ซึ่งต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ เพราะเมื่อกระทบแล้ว จะเป็นบาดแผลที่ลึก และทำให้การทำงานต่าง ๆ ยากขึ้น เราต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ขอให้จำกัดวงอยู่ที่ตรงนี้ไม่ต้องไปถามเรื่องศาลโลก เพราะเราไม่ได้รับอยู่แล้ว อย่าไปเปิดประเด็นให้มันมีประเด็นเพิ่มขึ้น เรากำลังจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่แก้ได้ ก็ขอให้ช่วยกันตรงนี้และไม่มีปัญหาอะไรเลย
เมื่อถามว่ามีการวางเงื่อนไขรับมือกรณีที่กัมพูชาไม่เข้าร่วมการประชุมเจบีซีหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยังไม่ได้คิดในส่วนนี้ เพราะเมื่อวานก็คุยกันดีพอสมควร ส่วนทางกัมพูชายืนยันว่า จะไม่พูดคุยถึง 4 จุด ตามที่แถลงการณ์มาแล้ว ในวงประชุมจะมีการพูดคุยเรื่องอะไรนั้น ก็ขอรอให้มีประชุมจริง ๆ ก่อนเพราะเราคุยกันแล้วว่าจะคุยอะไร
เมื่อถามว่าความแข็งกร้าวของกองทัพบก จะเป็นชนวนในการรัฐประหารหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า กองทัพบกมีหน้าที่ต้องทำของตนอยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกับรัฐบาล รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการรักษาประเทศ รักษาอธิปไตยก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
เมื่อถามย้ำว่าในยุคนายภูมิธรรมจะไม่กังวลว่าจะมีการทำรัฐประหารใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่มีสัญญาณเลย คุยกันดีมาตลอด สำหรับปลุกระดมเรื่องความรักชาตินั้น ตนขอให้ช่วยกันทำให้เห็นว่าการไม่เกิดสงครามเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ถ้าเราไปปลุกกับเขาด้วยก็จะยิ่งมีปัญหา
เมื่อถามว่านอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์ถึงท่าทีของการแถลงของประเทศไทย ว่าดูมีความนอบน้อมกว่าประเทศกัมพูชาที่มีความแข็งกร้าว นายภูมิธรรม กล่าวว่า อย่ามองว่าเป็นการนอบน้อม อย่างวานนี้ (5 มิ.ย. 2568) มีคนบอกว่าตนเดินทางไปกัมพูชา ไปเป็นข้าของเขา มันไม่จริง เพราะเมื่อวานนี้เขาก็มาหาเราถึงที่ ทำไมถึงไม่บอกบ้างว่าเขานอบน้อมเรา ขออย่าไปดูอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะตนมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ มีความเกี่ยวข้องกับประเทศชาติ ถ้าเราไปมองจุกจิกแต่กับเรื่องเล็ก ๆ เรื่องใหญ่มันจะไม่ได้ และกลายเป็นความขัดแย้ง
ส่วนเรื่องการนอบน้อม นายภูมิธรรม กล่าวว่า เป็นในสายตาใคร เพราะในทางการทูตก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ทัศนคติของแต่ละคนก็ต่างกัน
“ไม่ถนอมเลย ไม่ถนอม ไม่ถนอม ท่านต้องคิดบวก ต้องแบ่งเรื่องดังกล่าวเป็น 2 เรื่อง คือการปกป้องอธิปไตย และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ขณะนี้โลกมีปัญหาเยอะ เราก็ต้องมีความสัมพันธ์ในการแก้ไขปัญหาหลายอย่าง ตอนนี้คิดเรื่องเดียวไม่ได้” นายภูมิธรรม กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายภูมิธรรม ไม่ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าว กรณีที่หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือหม่อมปลื้ม เคยกล่าวว่าความสัมพันธ์ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กับ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นจุดอ่อนของการแก้ไขปัญหาระหว่างไทยและกัมพูชาในครั้งนี้ ก่อนจะขึ้นรถกลับออกไป