จากกระแสวิกฤติร้านอาหารย่านบรรทัดทอง ซึ่งเป็นแหล่งรวมอาหารสตรีทฟู้ดของเมืองไทย กำลังโดนกระแสเศรษฐกิจซบเซา รายได้ตกแต่ค่าเช่ากลับพุ่งสูงปรี๊ด จึงทำเอาร้านค้าหลายแห่งได้ปิดตัวลง แต่ทว่าผู้จัดการและนักปั้นดาราชื่อดังอย่าง “เอ ศุภชัย” กลับสวนกระแสเดินทางไปเปิดร้านอาหาร “ครัวบ้านเอ” แถวย่านดังกล่าว ซึ่งทุ่มทุนไปกว่า 10 ล้านบาท อีกทั้งร้านดังกล่าวได้เปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อย

ล่าสุดในงาน “A fair อร่อยเกรดเอ by A Supachai” ด้าน เอ ศุภชัย ได้เปิดใจถึงประเด็นดังกล่าว พร้อมทั้งตอบเรื่องความสัมพันธ์ของซุป’ตาร์ดังของเมืองไทยอย่าง “อั้ม พัชราภา” กับ “ไฮโซพก” ที่หลายคนลุ้นว่าทั้งคู่มีโอกาสจะกลับมาคืนดีกันหรือไม่นั้น ซึ่งเอ ศุภชัย ได้เผยว่า

“จริงๆแล้วบรรทัดทอง ไปเซ้งร้านตั้งแต่ขายพะโล้ได้แรกๆ ที่ขายดีมากๆ แล้วทำร้านอยู่6เดือน ก็เพิ่งเปิดไปเมื่อวาน ก็โอเคนะคะ ผลตอบรับดี สำหรับพี่เอนะคะ คือร้านพี่เอก็ขายได้เป็นหลักแสนอยู่ คือแต่มันเป็นวันแรกนะคะ วันต่อไปไม่รู้ค่ะ ตอนนี้ก็มีกระแสวิกฤตที่บรรทัดทอง คือพี่เอไม่ได้อ่านข่าวก็เลยไม่รู้กระแส เพราะว่าตอนนี้ก็ทำแต่เอแฟร์ ก็ไปเปิดก็ต้องสู้ค่ะ ไหนๆก็ลงทุนไปเยอะแล้ว คือถ้าถอยก็ขาดทุน ตอนนี้ก็เลยลงพีอาร์ไปอยู่ในร้าน เอาเสื่อผืนหมอนใบไปนอนที่ร้านบรรทัดทองเลย เพราะว่าถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จแน่นอน ถ้าไม่ได้ใส่ใจด้วยตัวเอง 

สำหรับพี่เอตอนนี้เพิ่งเปิดใหม่ๆเลย ตอบไม่ได้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่ตอนวันแรกอ่ะคือยังได้อยู่ คือวันเนี้ยไม่รู้ยอดเท่าไหร่ต้องขออนุญาตกลับไปดู ลูกน้องจะส่งยอดให้ตอนสามทุ่ม ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ทุกร้านนะเพราะว่าเราเป็นผู้ประกอบการ ไม่ว่าเราจะลงทุนทำธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ จะต้องจ่ายเงินลงทุนเยอะมาก เหมือนร้านบรรทัดทองของพี่เอ ตอนนี้ก็หมดไปเกือบ 10 ล้านแล้ว เพราะยังไงพี่เอก็ขายเอาเพื่อนดีกว่า เพราะว่าในสัญญามันมีแค่ปีเดียว คือทำร้านไว้นาน

แล้วค่าที่ที่มันสูงมากขึ้นมันจริงไม่จริงยังไงอันนี้คือคำว่าสูง พี่เอว่าถ้าพูดถึงตามโลเคชั่นน่ะพี่เอว่าก็สมเหตุสมผล แต่ไม่รู้ว่าบางทีพี่เอก็ไม่รู้ว่าเหตุผลอะไรที่มันมีปัจจัยหลายอย่างอะไรที่มันทำให้สูงขึ้นๆเรื่อยๆ ทำให้ผู้ประกอบการเอาเงินไปจ่ายค่าที่หมด แล้วกลายเป็นว่าอยู่ยาก พี่เอว่าเรื่องนี้ผู้ใหญ่น่าจะยังกำลังดูอยู่ น่าจะดูรายละเอียดอยู่แหละพี่เอว่า ซึ่งอีกหกเดือนที่เหลือ คือเราวางแผนว่า ตอนนี้ก็เน้นออนไลน์ให้ได้ เพราะว่าถ้าออฟไลน์ ไม่ได้เราก็มีออนไลน์ที่ยังมีหน้าบ้านอยู่ อย่างน้อยยอดออนไลน์ก็ได้วันนึงก็พอที่จะจ่ายค่าเช่ากับค่าพนักงานได้ก็โอเคแล้ว ขอให้มันอยู่ได้แค่นี้ไม่ต้องกำไรเยอะมากแต่ขอให้พี่เอได้โชว์ในการทำอาหารอร่อยของพี่เอ พี่อยากให้ทุกคนมารู้สึกว่ากินบ้านพี่เอ คือพี่เอจะจัดโคมไฟจัดบรรยากาศบ้านให้เหมือนอยู่ในบ้านพี่เอ ให้ทุกคนรู้สึกว่าดูโคมไฟเหมือนบ้านพี่เอ แล้วเราอ่ะมีสามชั้น ชั้นหนึ่งเป็นร้านอาหารอีสาน ชั้นสองเป็นอาหารใต้กับอาหารทะเล ส่วนชั้นสามถ้าใครจัดวันเกิดก็เชิญได้

แล้วถ้าหมดสัญญาตรงนี้แล้ว ถามว่าจะยังไปต่อกับบรรทัดทองไหม ก็ต้องดูการพูดคุยเจรจา รอเวลาก่อน แต่ว่าตอนนี้ก็มีความสุขนะคะในการอยู่ตรงนั้น เพราะเหมือนมันใกล้เมือง คืออย่างพี่เอไม่โดนกระทบมาก เพราะว่าของพี่เอ ยังมีจุดออนไลน์ที่แข็งแรงอยู่ แต่บางคนน่ะที่เขาไม่มีออนไลน์เลย ไม่มีใครรู้จัก เขาก็ลำบากเวลาเปิดหน้าร้าน เพราะว่าบางคนอยากไปห้างเพราะว่ามีแบงค์มีที่เอนเตอร์เทนอะไรแบบนี้ แต่บรรทัดทองอ่ะมันก็มีแค่ร้านอาหาร บางทีเราก็ต้องทำอาหารของเราให้โดดเด่นขึ้นมาถึงจะอยู่ได้ ถามว่าท้อไหม เราก็เหนื่อยนะคะ แต่ไม่ท้อแต่ถ้าเราท้อเมื่อไหร่ลูกน้องเราก็จะอยู่ไม่ได้ คือพี่เอบางวันก็อยากพักนะแต่ถ้าพักอ่ะเมื่อไหร่คนที่อยู่รอบกายเราอ่ะเขาเคลื่อนที่และสามารถอยู่รอด มันก็เลยอยู่ได้ ต้องทำงานตรงนั้น ไม่มีคำว่าท้อเลย ส่วนเครียด คือมันก็มีบ้างนะ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เครียดเลย ทำร้านอาหาร เขาถึงบอกถ้าเกลียดใครก็ไปแนะนำให้ทำร้านอาหาร ส่วนราคาของเรา ก็เป็นราคาที่เราตั้งไว้แต่ตอนต้นแล้ว ราคาเดิน ก็คือเหมือนราคาครัวบ้านเอ ก็เป็นราคาครัวบ้านเองอยู่แล้ว“

เอ ศุภชัย ได้เผยต่อว่า ”สำหรับเรื่อง “อั้ม  พัชราภา” กับ “ไฮโซพก” อันนี้พี่ไม่รู้เรื่องเลย ซึ่งที่เขาเป็นข่าวไปไหนมาไหนด้วยกันหรือเรื่องที่ว่าทั้งคู่จะมีโอกาสรีเทิร์นกันไหม อันนี้พี่ไม่ทราบเลยจริงๆ เดี๋ยวรอเจอเจ้าตัวก็ลองพูดคุยกันดูนะ คือพอโดนถามเรื่องนี้ทีไรเหงื่อแตกเลย ส่วนเรื่องที่พี่อั้มอยากทำอั้มแฟร์ ก็มีโทรมาบอกว่า อยากทำแฟร์ พี่ก็เลยบอกว่าได้สิเดี๋ยวช่วย ซึ่งเราก็เอาทีมงานที่ทำเอแฟร์ไปช่วย พี่อั้มก็ออกแบบดีไซน์และช่วยกัน เอ็นดูกัน รักกัน ดีใจที่พี่อั้มชอบ ถือว่าเราได้เอาพี่อั้มออกจากบ้านได้ ไม่งั้นพี่อั้มก็จะไม่ออกไปไหนเลยอยู่แต่ในบ้าน

ส่วนเรื่องทำละครก็แอบซุ่มอยู่  ก็คือพี่ยังรักละครอยู่ รักนักแสดงอยู่ รักอาชีพผู้จัดการดารา การปั้น ผู้กำกับ พี่ก็เลยสร้างงาน สร้างละครขึ้นมา ก็เดี๋ยวรอติดตามตอนต่อไปนะคะ ถามว่าพี่อั้มเป็นนางเอกใช่ไหม เรื่องนี้ไม่ใช่ค่ะ ซึ่งพี่เออยากให้ทุกคนเห็นว่าเราก็ยังมีความสามารถที่จะดูแลทุกคนได้อยู่ เรายังทำงานอยู่ ซึ่งเราคิดถึงฝีมือการทำงานของนักแสดงทุกคน คิดว่าจะทำยังไงให้เห็นในเมื่อไม่มีใครทำละครเลย อย่างน้อยก็ทำเรื่องเล็กๆขึ้นมาซักเรื่องนึง ได้เห็นพวกเขาสักเรื่องนึงให้หายคิดถึงสักเรื่องนึงก็ยังดี ซึ่งการเปิดกล้องของเราเรื่องนี้คืออยากทำให้ทุกคนมาร่วมงาน คืออยากเจอ อยากเห็น เราไม่ได้เห็นบรรยากาศแบบนี้มานานแล้ว ก็เข้าใจทุกคนว่าตอนนี้เศรษฐกิจมันแย่มาก พี่เอก็เหนื่อย ก็เลยต้องขยันเป็นแม่ค้า เพื่อจะเอาเงินจากการเป็นแม่ค้าไปอัดฉีดตรงนั้น เพราะไม่งั้นก็จะไม่มีเงินจากส่วนไหนเลย นอกจากนั้นวันที่ตัวเองวิ่งขายของทำมาหากินทุกวันนี้ เก็บเงินไปก็เอาไปอยู่ในส่วนของฝั่งผู้จัด

โดยการเปิดกองครั้งนี้ เราก็ยังไม่เคยไปกองสักวันเลย  เพราะว่าเราต้องหาเงิน ส่วนคนทำงานก็ให้เขาไปทำงาน ก็ให้เขารอรับเงินจากการที่แม่มาทำงาน ทุกวันนี้ธุรกิจมันเป็นแบบนี้ ผู้จัดก็ต้องมานั่งขายของ และสั่งคนได้ไปทำงาน เราก็หาเงินจากตรงนี้ไปโปะตรงนั้น ถึงจะมีแรงขับเคลื่อนได้ แต่ถ้าผู้จัดคนนี้ไม่มาทำงานตรงนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเอาเงินตรงไหน ซึ่งเราก็ไม่อยากเอาเงินที่เก็บออกมาใช้ อย่างน้อยก็เป็นเงินลงทุนต่อไปประมาณนี้ค่ะ“