เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กชื่อ หมอเจด
หมอเจดระบุว่า แม้การบริโภคโซเดียมมากเกินไปจะเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงต่อโรคไต แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีสาเหตุสำคัญอีก 5 ประการ ที่ทำให้ไตเสื่อมแบบเงียบ ๆ โดยไม่ทันรู้ตัว ดังนี้
1. โรคเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากต้องเข้าสู่กระบวนการฟอกไตในประเทศไทย เพราะระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงอย่างต่อเนื่อง จะค่อย ๆ ทำลายเส้นเลือดฝอยในไต ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการกรองของเสียลดลง
สัญญาณเตือน: ปัสสาวะเป็นฟอง, บวมหน้า-เท้า, เหนื่อยง่าย, ความดันสูงแบบไม่มีสาเหตุ
2. ความดันโลหิตสูงแม้ไม่มีอาการชัดเจนในระยะเริ่มต้น แต่ความดันสูงก็เป็นภัยเงียบที่ทำให้เส้นเลือดในไตเสื่อมสภาพ จนส่งผลกระทบต่อการทำงานของไตโดยตรง
สัญญาณเตือน: ค่าความดันเกิน 140/90 mmHg, ตาบวมตอนเช้า, เหนื่อยง่าย
3. ยาแก้ปวด ยาชุด และสมุนไพรไม่ปลอดภัย
การใช้ยาแก้ปวดติดต่อกัน รวมถึงการบริโภคยาชุดหรือสมุนไพรที่ไม่ทราบแหล่งที่มา อาจทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงไตลดลง จนเสี่ยงต่อภาวะไตเสื่อม
กลุ่มเสี่ยง: ยา NSAIDs (เช่น Ibuprofen, Diclofenac), ยาชุดคลินิกเถื่อน, สมุนไพรผสมสเตียรอยด์
4. ดื่มน้ำน้อย
พฤติกรรมขี้เกียจดื่มน้ำ โดยเฉพาะในคนที่อยู่ในห้องแอร์ทั้งวัน อาจทำให้เลือดเข้มข้นและไตต้องทำงานหนักมากขึ้น ส่งผลต่อความเสื่อมของไตในระยะยาว
ผลที่ตามมา: ปัสสาวะเข้ม, ปากแห้ง, ปัสสาวะน้อย, เสี่ยงไตวายเฉียบพลัน
5. โรคไตจากภูมิคุ้มกันแม้จะดูสุขภาพดี ไม่กินเค็ม ไม่กินยา แต่บางคนอาจเป็นโรคภูมิคุ้มกันที่ทำร้ายไตโดยตรง เช่น โรคพุ่มพวง (SLE), IgA Nephropathy หรือโรคไตอักเสบชนิดต่าง ๆ
สัญญาณเตือน: ปัสสาวะมีฟองหรือเลือดปน, บวม, ความดันสูงแบบหาสาเหตุไม่ได้
สรุป: อย่าคิดว่า “ไม่กินเค็มแล้วไตจะปลอดภัย”
หมอเจดทิ้งท้ายว่า แม้การลดเค็มจะช่วยได้ แต่ถ้ายังละเลยสาเหตุอื่น ๆ ที่กล่าวมา โอกาสเสี่ยงเป็นโรคไตก็ยังคงอยู่ พร้อมย้ำว่า “ไตไม่ใช่อะไหล่รถยนต์ที่เปลี่ยนได้ง่าย ๆ” การดูแลสุขภาพให้รอบด้านจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ต้องฟอกไตในอนาคต