ความจริงที่น่าตกใจเกี่ยวกับรอยสักของสามี นำมาเป็นเหตุผลในการหย่าร้างได้หรือไม่?
สาว A (นามสมมุติ) วัย 30 ปลายๆ ซึ่งแต่งงานมาแล้ว 2 ปี รู้สึกตกใจเมื่อได้รู้ความจริงเกี่ยวกับรอยสักของสามี ที่โกหกว่าเป็นรอยสัก “อักษรย่อชื่อคุณแม่” แต่เมื่อความจริงถูกเปิดเผยว่า จริงๆ แล้วมันคือ “อักษรย่อของชื่ออดีตแฟนเก่าของเขา”
เคสนี้ถูกเปิดเผยโดยทนายความคนดังแดนกิมจิ “ยังนาแร” ที่โพสต์คลิปทางช่องยูทูบของเธอ เพื่ออธิบายว่า กรณีนี้ภรรยาสามารถนำมาใช้ในการฟ้องหย่าสามีได้หรือไม่?
คุณ A ซึ่งแต่งงานกับสามีที่มีอายุน้อยกว่ามาแล้ว 2 ปี เปิดเผยว่า “ฉันคิดว่าฉันจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไปกับคนๆ นี้ แต่ปัญหาอยู่ที่รอยสักบนร่างกายสามีของฉัน”
ในช่วงที่คบหากัน สามีของเธอพูดถึงรอยสักของเขาว่า “มันเป็นตัวอักษรย่อชื่อแม่ของผม ผมรู้สึกขอบคุณแม่มาก และสงสารเธอ ผมจึงสักอักษรย่อของแม่ไว้บนร่างกาย ผมทำเพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองมีความรับผิดชอบ เมื่อต้องทำงาน”
คุณ A กล่าวว่าเธอรู้สึกซาบซึ้งใจในความกตัญญูกตเวทีของสามี แต่เมื่อได้มีโอกาสไปเยี่ยมบ้านของพ่อแม่สามีหลังแต่งงาน เธอจึงได้พบความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ในห้องนอนของสามีที่บ้านพ่อแม่ มีรูปภาพอยู่ในกล่องเหล็กของสามีกับแฟนเก่าหลายใบ มีใบหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า สามีกับแฟนเก่ามีรอยสักที่เหมือนกันตรงบริเวณเดียวกันเป๊ะ ต่างกันแค่ตัวอักษร ใต้รูปภาพยังมีข้อความเขียนเอาไว้ว่า “ขอให้เรารักกันตลอดไป เพราะเราสักตัวอักษรย่อของกันและกันไว้บนร่างกาย”

เมื่อคุณ A ไปถามหาความจริงจากสามี ก็ได้คำตอบว่า “จะให้ผมลบมันตอนนี้เหรอ การลบรอยสักมันมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก และมันก็เหมือนกับอักษรย่อของแม่ผม ฉันจึงคิดถึงแม่ตลอดเวลาที่เห็นรอยสัก”
คุณ A โกรธมากและกล่าวว่า “ฉันโกรธมากที่สามีของฉันมีรอยสักบนร่างกายเพื่อเป็นความทรงจำถึงแฟนเก่า และฉันรู้สึกถูกทรยศจากความจริงที่ว่า เขาหลอกลวงฉันตั้งแต่สมัยที่เราคบกัน”
เธอยังกล่าวต่อว่า “ถ้าสามีของฉันตกใจเมื่อรู้ว่าฉันรู้ความจริงแล้ว และบอกว่าจะรีบลบรอยสักทันที ฉันคงจะรู้สึกดีขึ้น แต่ฉันโกรธสุด ๆ เพราะสิ่งที่เขาพูดออกมาตรงกันข้ามกับสิ่งที่ฉันคิด”
นี่อาจเป็นเหตุผลทางกฎหมายในการหย่าร้างได้หรือไม่?
เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ คุณ A กล่าวว่า “แม้ว่าการแต่งงานของเรายังไม่มีปัญหาอะไร แต่เหตุการณ์นี้ทำให้ฉันเลิกรักเขา และถึงขั้นคิดที่จะหย่าร้างด้วยซ้ำ ฉันจึงสงสัยว่านี่จะใช้เป็นเหตุผลทางกฎหมายในการหย่าร้างได้หรือไม่?”
ทนายความยังนาแรอธิบายว่า แม้ว่าเธอจะเข้าใจความรู้สึกของคุณ A เป็นอย่างดี แต่การจะนำเรื่องนี้มาใช้เป็นเหตุผลทางกฎหมายในการหย่าร้างนั้น เป็นเรื่องยาก
“การจะถือเป็นเหตุผลในการหย่าร้างได้ จำเป็นต้องมีการกระทำที่เป็นการทำลายความไว้วางใจในขณะที่ยังรักษาความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาเอาไว้ แต่การโกหกเกี่ยวกับรอยสัก ดูเหมือนจะไม่ถือเป็นเหตุผลร้ายแรงในการทำลายความไว้วางใจ”
นอกจากนี้ ทนายความยังแนะนำคุณ A ว่า “หากคุณ A ยังคงหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูด เพราะรู้สึกไม่พอใจกับรอยสักนั้นมาก หรือจู้จี้กับเขาเป็นเวลานานให้ลบรอยสักนั้นออก นั่นอาจเป็นความผิดของคุณ A แทนก็เป็นได้”
ที่มาและภาพ : insight korea