เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 29 พ.ค. ที่รัฐสภา นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล สว. ในฐานะประธานคณะ กมธ.สาธารณสุข วุฒิสภา และ พล.ต.ท.บุญจันทร์ นวลสาย สว. ในฐานะประธานกรรมาธิการกฎหมายและการยุติธรรม วุฒิสภา แถลงข่าวการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีแพทยสภามีมติลงโทษแพทย์กรณี ชั้น 14

โดย นพ.ประพนธ์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวมีมูลเหตุจากมติคณะกรรมการแพทยสภาครั้งที่ 5 ว่าแพทย์ดังกล่าวปฏิบัติไม่ถูกหลักจริยธรรม ในการดูแลผู้ต้องขังระดับสำคัญมาก ซึ่งมีมติตักเตือนแพทย์ เนื่องจากประกอบกิจกรรมไม่เป็นไปตามมาตรฐานและพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์สองราย เนื่องจากการให้ข้อมูลเอกสารทางการแพทย์ไม่ตรงตามข้อเท็จจริง นอกจากข้อมูลหลักฐานที่ได้รับไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนว่าวิกฤติเกิดขึ้นกับผู้ป่วย สะท้อนถึงความไม่โปร่งใสในการให้ข้อมูลทางการแพทย์ที่อาจบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมและเกิดความเหลื่อมล้ำต่อผู้ต้องขังรายอื่น คณะกรรมการทั้งสองคณะจึงเห็นพ้องที่จะศึกษาเรื่องนี้ เนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องด้านจริยธรรมและมาตรฐานของวิชาชีพแพทย์ 

นพ.ประพนธ์ กล่าวอีกว่า ส่วนด้านคณะ กมธ.การกฎหมายและการยุติธรรม ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าพฤติกรรมและผลลัพธ์ของการให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงอาจกระทบหลักนิติธรรมและความเสมอภาคความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งคณะกรรมาธิการทั้งสองคณะจะมีการประชุมร่วมกันในวันนี้ เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานร่วมกันในการศึกษาพิจารณาประเด็นจริยธรรมทางการแพทย์ และจะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่างระบบราชทัณฑ์ หน่วยบริการสุขภาพและองค์กรวิชาชีพเข้าให้ข้อมูลรอบด้าน เพื่อเสนอต่อวุฒิสภา ก่อนส่งต่อให้หน่วยงานที่มีอำนาจดำเนินการ

“การที่บุคคลหนึ่งได้รับการปฏิบัติอาจแตกต่างจากผู้ต้องขังทั่วไปโดยอาศัยการรับรองทางการแพทย์ที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงอาจเป็นสัญญาณของปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงที่กระบวนการยุติธรรมถูกบิดเบือน ซึ่งตนไม่ได้มีเจตนาที่จะทำลายเกียรติของวิชาชีพแพทย์ แต่เพื่อธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือ ความโปร่งใส และความเป็นธรรม หากปล่อยไว้ซึ่งการให้ข้อมูลทางการแพทย์ที่คลาดเคลื่อนโดยไม่มีการตรวจสอบและถอดบทเรียน ย่อมเป็นอันตรายต่อระบบนิติรัฐ“ นพ.ประพนธ์ กล่าว

ด้าน พล.ต.ท.บุญจันทร์ กล่าวถึงกรณีที่มีข้อสงสัยในสังคมผ่านมาทางคณะกรรมาธิการว่า สรุปแล้วนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สามารถพักรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ชั้น 14 ได้จริงหรือไม่ ซึ่งตนยืนยันว่า เป็นการศึกษาข้อกฎหมายว่าข้อใดราชทัณฑ์สามารถทำได้และระเบียบที่โรงพยาบาลตำรวจสามารถทำได้ เพื่อที่จะนำเสนอให้ประชาชนรับทราบ และให้ประชาชนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้อย่างทั่วถึง

เมื่อถามอีกว่าระยะเวลาศึกษาของกรรมาธิการจะใช้เวลาประมาณไหน พล.ต.ท.บุญจันทร์ กล่าวว่า ใช้เวลาประมาณ 45 วัน เพราะต้องเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ส่วนกรณีที่ศาลพิจารณาอยู่นั้นคณะกรรมาธิการจะซ้ำซ้อนหรือไม่นั้น เป็นคนละส่วนกันเพราะด้าน กมธ.สาธารณะสุข และ กมธ.กฎหมาย จะศึกษาถึงระเบียบข้อปฏิบัติที่มีช่องโหว่

ส่วนที่กรรมาธิการหลายคณะ มาศึกษาเรื่องการรักษาตัว รพ.ตำรวจ ชั้น 14 ของนายทักษิณนั้น ไม่เคยมีใครได้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงในส่วนนี้เลย กรรมาธิการจะสามารถหามาได้หรือไม่ นพ.ประพนธ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีการศึกษามาเยอะ แต่กระบวนการและขั้นตอนนั้นแตกต่างกัน หากย้อนไปถึงกระบวนการของสภาผู้แทนราษฎรนั้น จะติดขัดในส่วนของเวชระเบียน เราจึงจะเริ่มต้นตั้งแต่มติของแพทยสภาคือเรียกเวชระเบียนไปพิจารณา เมื่อจุดเริ่มต้นตรงนี้ กระบวนการศึกษาจะแตกต่างกัน ซึ่งสามารถย้อนไปถึงในรายละเอียดต่างๆ ได้

เมื่อถามอีกว่ากรณีนี้จะเกี่ยวข้องกับกรณีเรื่องของคดีฮั้ว สว. หรือไม่ นพ.ประพนธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นคนละส่วนกัน การศึกษานี้เพื่อที่จะให้เกิดความชัดเจนและประโยชน์ในการพัฒนาจะไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง