เมื่อวันที่ 23 พ.ค.นพ.แพทย์เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้ออกมาเปิดเผยผ่านเพจ “หมอเจด” ถึง 5 สัญญาณสำคัญที่หลายคนมักมองข้าม หรือเข้าใจผิดว่าเป็นอาการปกติ แต่แท้จริงแล้วคือภัยเงียบจากโรคเบาหวานที่กำลังกัดกินร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ที่ยังไม่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวาน

5 สัญญาณเตือนภัยเงียบจากเบาหวาน ที่คุณต้องรู้!

    ตาพร่า มองไม่ชัดตอนกลางคืน อาจไม่แค่แก่…แต่น้ำตาลขึ้นตา!

    เมื่อคุณขับรถกลางคืนแล้วรู้สึกแสบตา เห็นไฟเบลอๆ หรือต้องเพ่งอ่านหนังสือมากขึ้น หลายคนมักคิดว่าเพราะอายุมากขึ้น แต่ความจริงแล้วอาจเป็นผลจาก ภาวะเบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy) ซึ่งเกิดจากน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรังไปทำลายเส้นเลือดฝอยเล็กๆ ในจอประสาทตา ทำให้เส้นเลือดเหล่านี้รั่ว บวม หรือแตก เกิดจุดเลือดซึมโดยไม่มีอาการเตือน จนกว่าจะลุกลามแล้วจึงค่อยเห็นผล ซึ่งแม้จะรักษาด้วยเลเซอร์หรือฉีดยา ก็อาจไม่ฟื้นกลับมา 100% “ผมเองก็เคยเป็นครับ ตอนแรกคิดว่าสายตาสั้นเพิ่มขึ้นหรือเปล่า แต่พอไปตรวจก็พบว่ามีเส้นเลือดแตกแล้ว” นพ.แพทย์เจษฎ์กล่าวเตือน หากมีอาการตาพร่าทั้งที่ไม่เคยมีปัญหาสายตามาก่อน ควรรีบตรวจน้ำตาลและตรวจตาอย่างละเอียด เพราะการมองไม่เห็น…แก้ยากกว่าการลดน้ำตาล

    ค่าไตลดลงแบบไม่รู้ตัว อย่าคิดว่าไม่ป่วย…มันคือเบาหวานทำร้าย!

    หลายคนมักพูดว่า “ผมไม่เคยเป็นโรคไตครับ” แต่กลับมาตรวจพบว่าไตเสื่อม ซึ่งแท้จริงแล้วไตถูกเบาหวานทำลายแบบเงียบๆ มาเป็นปีแล้ว นพ.แพทย์เจษฎ์ยกตัวอย่างญาติที่อายุเพียง 30 กว่าๆ ก็เป็นโรคไตเรื้อรังแล้ว เพราะไม่เคยตรวจร่างกาย ภาวะนี้เรียกว่า ภาวะเบาหวานลงไต (Diabetic Nephropathy) เกิดจากน้ำตาลสูงในเลือดทำลายเส้นเลือดฝอยในหน่วยไต ทำให้การกรองของเสียลดลง และโปรตีนเริ่มรั่วในปัสสาวะโดยไม่มีอาการเจ็บ ไม่มีไข้ หรือบวม จนกว่าจะรุนแรงถึงขั้นอ่อนเพลีย หรือความดันโลหิตสูง เมื่อไตเสื่อมจากเบาหวาน ค่า eGFR จะลดลง และค่า Creatinine จะสูงขึ้น ซึ่งเมื่อรู้ตัวอีกที การฟื้นฟูก็ทำได้ยาก เพราะเซลล์ไตที่เสียหายไม่สามารถสร้างใหม่ได้ “ไตไม่เคยบ่น…แต่จะพังโดยไม่ขออนุญาต” หากคุณมีน้ำตาลสูงเรื้อรัง หรือมีเบาหวานในครอบครัว ควรตรวจค่าการทำงานของไตปีละครั้ง

    สมรรถภาพทางเพศถดถอย ทั้งที่ยังไม่แก่…อาจเพราะน้ำตาลสูง!

    สำหรับผู้ชายหลายคนที่มีปัญหา “นกเขาไม่ขัน” ทั้งที่ยังไม่ถึงวัยเกษียณ อาจคิดว่าเป็นเรื่องธรรมชาติหรือจากความเครียด แต่แท้จริงแล้ว “เบาหวาน” อาจเป็นตัวการซ่อนอยู่เงียบๆ นพ.แพทย์เจษฎ์เน้นย้ำว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะน้ำตาลสูงเรื้อรังจะทำให้เส้นเลือดฝอยเล็กๆ ที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศแข็งตัว ตีบ และไหลเวียนไม่ดี แถมยังทำลายเส้นประสาทรับความรู้สึก (peripheral neuropathy) ส่งผลให้การแข็งตัวไม่เต็มที่ หรือแข็งตัวได้ไม่นาน ซึ่งเป็นกลไกพื้นฐานของ ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction – ED) ปัญหานี้จะค่อยๆ เกิดขึ้นและส่งผลต่อความมั่นใจในชีวิตคู่ “ข่าวดีคือถ้าเราจัดการน้ำตาลให้ดีขึ้นตั้งแต่ต้น การฟื้นฟูเส้นเลือดเล็กและระบบประสาทสามารถเกิดขึ้นได้” อย่ารอให้ถึงวันที่ต้องพึ่งยา เพราะหัวใจสำคัญไม่ใช่แค่แข็ง…แต่คือสุขภาพดีทั้งระบบ

    แผลหายช้า เป็นรังแค คันยิบๆ อย่ามองข้าม…อาจเป็นเบาหวาน!

    เคยสงสัยไหมว่าทำไมแผลเล็กๆ อย่างยุงกัดถึงหายช้าผิดปกติ? หรือมีรังแค ผิวแห้ง ลอก คันเรื้อรังทั้งที่ดูแลผิวดี? อาการเหล่านี้อาจเป็น “ของแถม” จากเบาหวานที่หลายคนมองข้าม นพ.แพทย์เจษฎ์เล่าว่าบางคนมาถึงโรงพยาบาลด้วยแผลที่นิ้วเท้าจนต้องตัดทิ้ง เพราะเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงต่อเนื่อง ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะทำงานช้าลง แถมเส้นเลือดเล็กที่ไปเลี้ยงผิวหนังก็เสื่อมประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายส่งเซลล์ซ่อมแซมแผลได้ช้ากว่าปกติ ส่งผลให้ แผลหายช้า เกิดการติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณขา ข้อเท้า และนิ้วเท้า นอกจากนี้ยังอาจพบ ผื่นคัน เชื้อรา หรือผิวแห้งลอก โดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะบริเวณขาหนีบ ใต้ราวนม หรือบริเวณที่มีเหงื่อ หากคุณเริ่มรู้สึกว่า “แผลเล็กๆ หายช้า” หรือ “คันเรื้อรังแม้ผิวไม่ได้แห้ง” อาจถึงเวลาตรวจน้ำตาลก่อนจะสายไป

    ชาตามมือเท้า ปวดแสบปวดร้อน คือเสียงเตือนจากเส้นประสาท

    อาการชาหรือรู้สึกเหมือนไฟช็อตบริเวณปลายมือปลายเท้าในช่วงกลางคืน ไม่ได้แปลว่าคุณแค่นอนผิดท่า แต่อาจเป็นสัญญาณว่า เส้นประสาทของคุณเริ่มถูกเบาหวานทำลายแล้ว นพ.แพทย์เจษฎ์ระบุว่าอาการนี้ทรมานมาก ภาวะนี้เรียกว่า ภาวะเส้นประสาทส่วนปลายเสื่อมจากเบาหวาน (Diabetic Peripheral Neuropathy) เกิดจากน้ำตาลในเลือดที่สูงอย่างต่อเนื่องจนทำลายปลอกไมอีลิน (myelin sheath) และเซลล์ประสาท ทำให้การส่งสัญญาณระหว่างสมองกับร่างกายช้าลงหรือผิดเพี้ยน คนไข้จึงรู้สึก “ชาร้าว เจ็บแปลบ ปวดเหมือนไฟฟ้าแลบ” หรือแม้กระทั่ง “แค่ผ้าห่มสัมผัสก็เจ็บ” ซึ่งรบกวนการนอนและคุณภาพชีวิตอย่างรุนแรง อาการเหล่านี้จะไม่ดีขึ้นเองและจะลุกลามไปเรื่อยๆ หากไม่ควบคุมระดับน้ำตาลให้ดี ซึ่งบางคนอาจสูญเสียการรับรู้ความรู้สึกไปถาวร แต่ข่าวดีคือ หากตรวจพบแต่เนิ่นๆ แล้วจัดการน้ำตาลให้สมดุล พร้อมเสริมวิตามิน B-complex และสารต้านอนุมูลอิสระ อาการจะดีขึ้นได้ระดับหนึ่ง และชะลอความเสื่อมของเส้นประสาทได้

คุณมีอาการเหล่านี้บ้างหรือไม่? อย่ารอช้าที่จะปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพและรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว