เมื่อเวลา 02.30 น. วันที่ 21 พ.ค. 68 น.ส.ดาว (นามสมมุติ) อายุ 20 ปี พร้อมเพื่อนสาว เดินทางเข้าแจ้งความต่อ ร.ต.อ.อิทธิพร ตั้งชูทวีทรัพย์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองพัทยา หลังจากถูกคนร้ายก่อเหตุลวงไปทำการข่มขืนและชิงทรัพย์
น.ส.ดาว ผู้เสียหาย เล่าว่า ช่วงเวลาประมาณ 22.00 น. ขณะกำลังเดินทางไปทำงานที่ร้านบาร์เบียร์แห่งหนึ่ง กลางซอย 6 ระหว่างเดินผ่านช่วงชายหาดพัทยา จะข้ามฝั่งไปในซอย 6 ได้มีชายไม่ทราบสัญชาติ เพราะพูดไทยไม่ชัด ชักชวนนั่งรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า เวฟ ไปเที่ยวที่ห้องของเขา ตนก็ได้ตกลงนั่งรถไปด้วย แต่พอมาถึงพัทยาเหนือ ผู้ก่อเหตุก็ได้เลี้ยวรถเข้าในซอยเปลี่ยว และไม่มีแสงไฟ จากนั้น ได้จอดรถข้างทางกลางซอย ก่อนผู้ก่อเหตุจะลงรถใช้อาวุธมีดจี้คอ บังคับให้เดินตามเข้าไปในป่า ก่อนลงมือข่มขืนขยี้กามจนสำเร็จความใคร่ หลังเสร็จกิจ ยังได้บังคับให้ส่งของภายในกระเป๋ามาให้ทั้งหมด ซึ่งภายในกระเป๋ามีเงินจำนวนหนึ่ง โทรศัพท์มือถือ และเอกสาร ก่อนจะปล่อยตนเองทิ้งไว้ และขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป โดยหลังจากที่ตนออกมาได้ ก็เดินไปเข้าแจ้งความกับตำรวจ

ต่อมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดเหตุเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ได้มีผู้เสียหายอีกราย เป็นหญิงสาวชาวไทย อายุ 17 ปี ซึ่งถูกก่อเหตุในลักษณะเดียวกัน ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน
สอบถาม น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี ผู้เสียหาย เล่าว่า ช่วงเวลาเกิดเหตุ ขณะที่ตนยืนอยู่บริเวณชายหาดพัทยาเหนือ ฝั่งตรงข้ามซอย 3 ขณะนั้น ได้เรียกใช้บริการไรเดอร์จากแอปพลิเคชันโบลท์ และกำลังรอรถเพื่อมารับกลับที่พัก ทันใดนั้น ผู้ก่อเหตุเป็นชาย ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาจอด ทำทีสอบถามชวนไปเที่ยวต้องเสียเท่าไหร่ ตนจึงตอบกลับไปว่า ไม่ได้ทำงานแบบนั้น กำลังจะกลับที่พัก ผู้ก่อเหตุจึงได้อาสาไปส่ง จึงตัดสินใจนั่งซ้อนรถไปด้วย พอมาถึงช่วงซอยเพชรตระกูล ก่อนถึงบิ๊กซีพัทยาเหนือ ผู้ก่อเหตุได้ขี่รถจักรยานยนต์พาเข้าที่เปลี่ยว ก่อนจะจอดรถแล้วใช้อาวุธมีดจี้คอ บังคับให้เดินตามเข้าไปในป่า ก่อนผู้ก่อเหตุจะพยายามข่มขืนตนในท่ายืน แต่ทำไม่สำเร็จ เพราะตนได้ดิ้นขัดขืน และอาศัยช่วงดังกล่าว วิ่งหนีเอาชีวิตรอดออกมาบนถนน ขอความช่วยเหลือจากพลเมืองดีที่ผ่านมา ให้ช่วยพาเข้าแจ้งความ เมื่อผู้ก่อเหตุเห็นมีคนมาช่วย จึงได้ขี่รถหลบหนีไป
เบื้องต้น หลังผู้เสียหายทั้ง 2 ราย เข้าแจ้งความ ทางพนักงานสอบสวน ได้สั่งชุดสืบสวนลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ เพื่อหาหลักฐานจากกล้องวงจรปิด ในการติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นรายเดียวกัน และถือเป็นการกระทำที่อุกอาจ และเป็นภัยต่อสังคมอย่างมาก.