หลังแพทยสภา แถลงผลสอบสวนจริยธรรมแพทย์ กรณีการรักษา “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ  โดยผลที่ออกมาพบว่า  “เอกสารที่ได้รับไม่ตรงกับหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนว่ามีภาวะวิกฤต”

โดยมีบทลงโทษแพทย์ 3 ราย  รายแรก ถูกลงโทษว่ากล่าวตักเตือน กรณีประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ส่วนอีก 2 ราย ถูกลงโทษ “พักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม” เนื่องจากให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์ไม่ตรงกับความเป็นจริง 

มติดังกล่าวจะถูกส่งต่อให้สภานายกพิเศษ คือ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.สาธารณสุข ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งต้องจับตาว่าจะเห็นชอบ หรือยับยั้งเตะถ่วงอย่างไร เพราะไม่ว่าจะทำอย่างไรก็มีแต่เสียกับเสีย  

ขณะเดียวกันยังพบว่า “ทักษิณ ชินวัตร” ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา ขอเดินทางไปประเทศกาตาร์ เนื่องจากผู้ครองนครกาตาร์ได้ออกหนังสือเชิญ ในฐานะเป็นที่ปรึกษาของประธานอาเซียน และหวังว่าจะเจอ “โดนัล ทรัมป์” ประธานธิบดีสหรัฐอเมริกา เพื่อพูดคุยเรื่องกำแพงภาษี 

              แต่ท้ายที่สุดศาลอาญาก็ไม่อนุญาตเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว  และไม่มีอะไรแน่นอนว่าจะเจอผู้นำอเมริกา ที่สำคัญช่วงระยะเวลาที่ขอเดินทางไปในวันที่ 14 พ.ค. ก็ใกล้กับวันนัดพร้อม หรือไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในวันที่ 13 มิ.ย. ทั้งนี้การขอไปต่างประเทศนี้ เพื่อต้องการหยั่งเชิงท่าทีของศาลอาญา หรือ บางคนก็วิเคราะห์ต้องการหนีออกไปตั้งหลักก่อน  

เมื่อสองสัญญาณดังกล่าว เป็นในทางลบเช่นนี้  คอการเมืองจึงฟันธงไปในทางเดียวกันว่า สถานการณ์ของ “ทักษิณ”  นอกจากช็อกแล้วยังต้องหนาวอีกด้วย   

โดยผลของแพทยสภา ถือเป็นสารตั้งต้น เพื่อใช้ในการนัดพร้อมหรือไต่สวนของศาลฎีกาฯ ในวัน 13 มิ.ย. ว่า “ทักษิณ”  ไม่ได้ป่วยวิกฤตจริง  หรือ ไม่ป่วยวิกฤตในโรงพยาบาลตำรวจตลอด 180 วันหรือไม่   

จึงมีความเป็นไปได้ว่าศาลฎีกาฯ  อาจตัดสินออกหมายขังใหม่ให้ไปติดคุกจริง 1 ปี หรือเท่ากับเวลาที่ป่วยวิกฤต  

แม้รัฐมนตรี และแกนนำพรรคเพื่อไทย จะทำใจดีสู้เสือว่าไม่กระทบรัฐบาล หรือ แม้ “แพทองธาร ชินวัตร”  ที่สวมบทนายกฯ และลูกสาวคนเล็ก “ทักษิณ” จะไม่ตอบคำถามในเรื่องนี้

แต่ในความเป็นจริงทางการเมือง หาเป็นเช่นนั้น เพราะ เมื่อผลแพทยสภาออกมาว่าไม่ป่วยวิกฤต  คนแรกที่ถูกถามความรับผิดชอบ ก็คือ “นายกฯอิ๊งค์” ที่ยืนยันว่า “ป่วยจริง ผ่าตัดด้วยค่ะ ถ้าให้ตัวดิฉันออกมาพูดถึงความชัดเจนอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี ”

เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ นายกฯ พูดไปคนก็ไม่เชื่อแล้ว  ถามว่าจะมีเครดิตบริหารประเทศอีกหรือไม่  ไม่นับเรื่องนโยบายอื่นๆ หรือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ  ต่อไปจะมีใครมาทำอะไรด้วยกับรัฐบาลที่เกิดวิกฤตศรัทธา และล้มละลายทางความน่าเชื่อถือ

รวมถึงกรณีหากอนาคตศาลฎีกา ตัดสินสั่งให้ “ทักษิณ” กลับไปรับโทษคุมขัง จริง “นายกฯอิ๊งค์” ในฐานะกำกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีโรงพยาบาลตำรวจ อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบ จะไม่ถูกทวงถามเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งมีการกำหนดในรัฐธรรมนูญหรือไม่

เนื่องจากจะต้องมีข้าราชการถูกฟ้องอาญามาตรา 157 แล้ว เพราะใช้อำนาจในทางไม่ชอบ ส่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ “พ่อนายกฯ” ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลตลอด 180 วัน โดย “นายกฯ” ไม่มีบัญชาลงไปตรวจสอบ  หลังสังคมตั้งคำถามว่าป่วยทิพย์  และมีภาคประชาชนร้องเรียนเกี่ยวกับอภิสิทธิ์ชนของนักโทษเทวดาชั้น 14 

ไม่นับประเด็นทางการเมืองที่รัฐบาลนี้เกิดขึ้นมาเพราะดีลลับ เพื่อไม่ให้พรรคส้มได้เป็นรัฐบาล แลกกับทักษิณได้ กลับประเทศ ก็อาจถูกล้มดีลลง และต้องกลับเข้าไปติดคุก หรือเลือกหนีตามช่องทางธรรมชาติก็ตาม  

กลับมาที่  “รัฐบาลแพทองธาร  ชินวัตร” ที่อยู่มาได้ 2 ปีกว่า ต้องยอมรับความจริงว่าเพราะ “ทักษิณ” ค้ำยันไว้  

ฉะนั้นถ้า “พ่อนายกฯ” มีอันเป็นไปในทางลบ “นายกฯอิ๊งค์ และ พรรคเพื่อไทยจะอยู่ได้อย่างไร รวมถึง พรรคร่วมรัฐบาลต่างๆจะยังยอมเป็นเลือดสุพรรณตายหมู่ตามไปด้วยหรือไม่