เมื่อวันที่ 8 พ.ค. ที่สถานีรถไฟมาบตาพุด จ.ระยอง นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง(ขร.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีปล่อยขบวนรถไฟขนส่งทุเรียนไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนว่า ขบวนรถไฟขนส่งทุเรียนดังกล่าว เป็นของบริษัท แพน-เอเชีย ซิลค์โรด จำกัด (PAS) ซึ่งจะขนส่งสินค้าไปตามแนวเส้นทางมาบตาพุด-หนองคาย-จีน รวมระยะทางประมาณ 1,750 กิโลเมตร(กม.) โดยเป็นการขนส่งสินค้าทุเรียน 5 ตูัๆ ละ 10 ตัน รวม 50 ตัน จะใช้เวลาในการขนส่งถึงจีนประมาณ 3-4 วัน ทั้งนี้การขนส่งทุเรียนทางรางของปี 2568 ที่สถานีรถไฟมาบตาพุด และแหลมฉบังได้เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 25 เม.ย.2568 ซึ่งถือเป็นการเปิดฤดูกาลขนส่งทุเรียนทางรางประจำปีอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ยังขนส่งผลไม้ชนิดอื่นๆ อาทิ มังคุด รวมทั้งขนส่งชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, เกลือสินเธาว์ และปิโตรเคมี ปัจจุบันผู้ประกอบการมีการจองใช้แคร่เต็มเกือบทุกวัน

นายพิเชฐ กล่าวต่อว่า ทุเรียน ถือเป็นผลไม้ส่งออกที่มีมูลค่าสูงที่สุดของประเทศไทย และเป็นผลไม้ที่มีความต้องการสูงในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการส่งออกถึง 97% โดยในปี 2567 มีมูลค่าส่งออกทุเรียนสด และแช่แข็งรวมกว่า 157,506 ล้านบาท โดยเฉพาะทุเรียนสดที่มีมูลค่าสูงสุดในเดือน พ.ค. 2567 ถึงกว่า 4.3 หมื่นล้านบาท คาดการณ์ว่าในปี 2568 ผลผลิตทุเรียนทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นกว่า 37% จากปีก่อนหน้า คิดเป็นปริมาณรวมราว 1.76 ล้านตัน โดยที่ผ่านมาการขนส่งทุเรียนของไทยได้พึ่งพาการขนส่งทางถนนเป็นหลัก ขณะที่ทางรางอยู่ที่ประมาณ 10% ซึ่งสาเหตุที่ยังไม่สามารถเพิ่มสัดส่วนทางรางให้สูงขึ้นได้ เนื่องจากยังมีข้อจำกัดของจำนวนแคร่ที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการ ปัจจุบันมีแคร่อยู่ประมาณ 1,250 คัน กระจายอยู่ในสถานีต่างๆ ทั่วประเทศ

นายพิเชฐ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ รฟท. มีโครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกสินค้า(บทต.) หรือแคร่ขนสินค้า 946 คันวงเงินประมาณ 2.4 พันล้านบาท ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้เสนอเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(สลค.) ตั้งแต่ประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา และผ่านการสอบถามความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว รอการบรรจุเข้าเป็นวาระในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ทั้งนี้คาดว่าหาก ครม. เห็นชอบ จะสามารถเปิดประมูลการจัดหาฯ ได้ภายในปี 2568 และจะเริ่มทยอยรับแคร่ขนสินค้าลอตแรกประมาณ 300 คันได้ในช่วงกลางปี 2569 ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้าทางรางได้มากขึ้นอีกประมาณ 10%

นายพิเชฐ กล่าวด้วยว่า ในปี 2566 ปริมาณการขนส่งผลไม้ทางรางระหว่างไทยไปยัง สปป.ลาว มีปริมาณการขนส่งมากถึง 708 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือประมาณ 17,700 ตัน และในปี 2567 มีปริมาณการขนส่งผลไม้ทางราง 1,108 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือประมาณ 27,700 ตัน ซึ่งถือได้ว่าปริมาณการขนส่งผลไม้ทางรางนั้นเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี สำหรับเส้นทางหลักที่ใช้ในการขนส่งสินค้า เริ่มจากสถานีมาบตาพุด/แหลมฉบัง ผ่านเส้นทางรถไฟทางคู่ ฉะเชิงเทรา-แก่งคอยเข้าสู่เส้นทางสายอีสานถึงหนองคาย ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ไปยังเวียงจันทน์โลจิสติกส์ จากนั้นใช้เส้นทางลาว-จีน ถึงนครฉงชิ่ง ประเทศจีน กระจายสินค้าภายในจีน และส่งต่อไปยังประเทศในแถบยุโรปได้

นายพิเชฐ กล่าวด้วยว่า เส้นทางรถไฟสายนี้จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกเชิงกลยุทธ์สำหรับผลไม้ไทย ไม่เพียงทุเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึง มังคุด ลองกอง ลำไย และผลไม้เน่าเสียง่ายอื่นๆ ที่สามารถใช้ประโยชน์จากระบบรางในการลดระยะเวลาการขนส่ง และรักษาคุณภาพสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้แม้ระยะเวลาการขนส่งทางราง และถนนจะใช้เวลาในการเดินทางใกล้เคียงกัน แต่ทางรางจะใช้เวลาการตรวจที่ด่านข้ามพรมแดนแต่ละจุดไม่นานเหมือนกับทางถนน จึงทำให้ผู้ประกอบการหันมาใช้การขนส่งสินค้าทางรางเพิ่มขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงต่อคุณภาพของผลไม้ด้วย

สำหรับการส่งเสริมการขนส่งสินค้าทางราง โดยเฉพาะสินค้าเกษตรมูลค่าสูงอย่างทุเรียน ถือเป็นภารกิจสำคัญของ ขร. ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และแนวนโยบาย Net Zero Emissions ที่ประเทศได้ประกาศต่อประชาคมโลก พร้อมกันนี้ ขร. ยังอยู่ระหว่างการพัฒนามาตรการส่งเสริมและแรงจูงใจเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง (Modal Shift) จากถนนมาสู่ระบบรางในวงกว้างมากขึ้นในอนาคตด้วย ทั้งนี้หากเป้าหมายการขนส่งทุเรียนทางรางจำนวน 2.3 หมื่นตันในปี 2568 บรรลุผลสำเร็จ จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 1,610 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ใหม่เพื่อดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนกว่า 26,680 ตัน ถือเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ.