สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากเมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 8 พ.ค. ว่า รายงานความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อสภาพอากาศจากการบริโภค และการลงทุนของกลุ่มคนร่ำรวยที่สุดของโลก ระบุว่า การปล่อยคาร์บอนของเหล่ามหาเศรษฐี ส่งผลกระทบโดยตรงกับสภาพอากาศในโลกแห่งความเป็นจริง
เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกแล้ว กลุ่มคนร่ำรวยที่สุด 1% มีส่วนทำให้เกิดคลื่นความร้อนในรอบศตวรรษมากกว่า 26 เท่า และก่อให้เกิดภัยแล้งในป่าแอมะซอนมากกว่า 17 เท่า ตามผลการศึกษาซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร “เนเจอร์ ไคลเมต เชนจ์”
????????️ The richest 10% of the global population has caused two thirds of #globalwarming since 1990, according to a new study.
— FRANCE 24 English (@France24_en) May 7, 2025
The authors of the study suggest progressive taxes on wealth and carbon-intensive investments could be a solution.
➡️ For more: https://t.co/4ktzwRpNnS pic.twitter.com/bD9YB9osZb
การปล่อยมลพิษจากกลุ่มคนร่ำรวยที่สุด 10% ในจีนและสหรัฐรวมกัน คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของมลพิษคาร์บอนทั่วโลก ซึ่งส่งผลให้อุณหภูมิโลกร้อนจัดเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า
ขณะที่การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล และการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยบนพื้นผิวโลกสูงขึ้น 1.3 องศาเซลเซียส ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนั้น นักวิจัยยังย้ำถึงการปล่อยมลพิษที่แฝงอยู่ในการลงทุนทางการเงิน โดยพวกเขาเสนอว่า การจัดเก็บภาษีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน มีความเป็นธรรมมากกว่าการเก็บภาษีคาร์บอนแบบกว้าง ๆ ซึ่งสร้างภาระให้กับผู้ที่มีรายได้น้อย
อย่างไรก็ดี ความคิดริเริ่มล่าสุดในการเพิ่มภาษีสำหรับมหาเศรษฐี และบริษัทข้ามชาติส่วนใหญ่ ซึ่งถูกผลักดันในการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ “จี20” ยังคงไม่มีความคืบหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐ.
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES