สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ต้อนรับนายกรัฐมนตรีมาร์ค คาร์นีย์ ผู้นำแคนาดา ที่ทำเนียบขาว โดยเป็นการพบหน้าหารือครั้งแรกอย่างเป็นทางการของผู้นำทั้งสองประเทศ และเป็นการเยือนสหรัฐครั้งแรกอย่างเป็นทางการของคาร์นีย์ ในฐานะผู้นำแคนาดา หลังชนะการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 28 เม.ย. ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ คาร์นีย์กล่าวว่า การพบหารือกับทรัมป์ “เป็นไปอย่างสร้างสรรค์” โดยทั้งสองประเทศเห็นชอบจัดการหารือร่วมกันอย่างจริงจัง “เพื่อการปรับปรุงความสัมพันธ์” ซึ่งเป็นผลจากการที่สหรัฐใช้มาตรการภาษี
Pres. Trump on Canada becoming 51st state: We're not going to be discussing that, unless somebody wants to discuss that…it really would be a wonderful marriage.
— CSPAN (@cspan) May 6, 2025
Canadian PM Carney: There are some places that are never for sale…it's not for sale. It won't be for sale, ever. pic.twitter.com/axZSwbeO9C
ขณะที่ผู้นำสหรัฐกล่าวไปในทางเดียวกัน ว่าการพบหารือกับผู้นำแคนาดา “เป็นไปด้วยดี” และเชื่อมั่นว่า “เข้ากันได้” แม้ไม่ได้กล่าวโดยตรงอีก เกี่ยวกับแนวคิดให้แคนาดาเป็น “รัฐที่ 51” แต่ใช้คำว่า “จะเป็นการแต่งงานที่มหัศจรรย์” อย่างไรก็ตาม คาร์นีย์เน้นย้ำว่า “แคนาดาไม่ได้มีไว้ขาย” และขอให้ทรัมป์เลิกใช้คำว่า “รัฐที่ 51” กับแคนาดา
ปัจจุบัน แคนาดาเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่อันดับสองของสหรัฐ รองจากเม็กซิโก และเป็นตลาดส่งออกขนาดใหญ่ที่สุดสำหรับสินค้าของสหรัฐ โดยมูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศสูงกว่า 760,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 24.8 ล้านล้านบาท) เมื่อปี 2567
แต่หลังจากทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษีหลายอย่าง รวมถึงภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมในอัตรา 25% มูลค่าการส่งออกสินค้าของแคนาดาไปยังสหรัฐลดลงแล้ว 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 121,101 ล้านบาท).
เครดิตภาพ : AFP