การขี้ลืมเป็นเรื่องปกติที่ใครๆก็เป็นได้ แต่หากอาการหลงลืมเริ่มมีมากขึ้น จนส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน อาจสุ่มเสี่ยงส่งสัญญาณบ่งบอกภาวะ “สมองเสื่อม” จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรใส่ใจและสังเกต “ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล” มีเกร็ดความรู้มาบอกเล่าถึงความแตกต่างระหว่างอาการหลงลืมทั่วไปกับภาวะสมองเสื่อม เพื่อให้เข้าใจและสามารถจัดการกับอาการแต่ละกรณีได้อย่างเหมาะสม
ความแตกต่าง “ขี้ลืม” กับ “ภาวะสมองเสื่อม”
-อาการขี้ลืมทั่วไปมักเกิดขึ้นในช่วงวัยผู้ใหญ่ และไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ซึ่งอาจเป็นผลจากการมีสภาวะเครียด วิตกกังวล หรือมีภารกิจยุ่งเหยิงในชีวิตประจำวันที่จำเป็นต้องใช้สมาธิและความตั้งใจในการจดจำมากกว่าปกติ อีกทั้งมักเป็นการลืมรายละเอียดเล็กๆ เช่น การลืมสิ่งของว่าวางไว้ที่ไหน การลืมเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่ได้ใช้บ่อยๆ การลืมการนัดหมายที่ไม่สำคัญ

-ภาวะสมองเสื่อม เป็นภาวะที่มีอาการลืมเป็นมากขึ้นจนส่งผลต่อการใช้ชีวิตของบุคคลนั้น ทำให้เกิดภาวะพึ่งพิงผู้ดูแลหรือสมาชิกในครอบครัวมากขึ้นจนไม่สามารถใช้ชีวิตตามลำพังได้ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการทำงาน โดยภาวะสมองเสื่อมมีอาการที่พบบ่อย เช่น ลืมชื่อคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทที่พบกันเป็นประจำ ลืมข้อมูลสำคัญอื่นๆ เช่น การนัดหมาย ทั้งที่ได้มีการบอกซ้ำหรือจดไว้แล้ว ลืมหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้เป็นประจำ ซึ่งการลืมเช่นนี้เป็นการลืมแบบกู้ไม่ขึ้น
ภาวะสมองเสื่อมเกิดขึ้นอย่างช้าๆ และมักมีอาการที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถเห็นได้ชัดเจน
จุดสังเกตข้อแตกต่างระหว่าง ขี้ลืม-สมองเสื่อม
@ ความรุนแรงของอาการ : อาการขี้ลืมทั่วไปมักไม่มีผลกระทบต่อความสามารถในการทำงานหรือการใช้ชีวิตประจำวัน ในทางตรงกันข้าม ภาวะสมองเสื่อมมักมีอาการลืมที่รุนแรงและส่งผลต่อคุณภาพชีวิต
@ ความเป็นมาของอาการ : อาการขี้ลืมเกิดขึ้นเป็นบางครั้ง แต่ภาวะสมองเสื่อมมักเกิดขึ้นเป็นเวลานานและมีแนวโน้มที่จะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ
@ ผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน : อาการขี้ลืมมักไม่มีผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ส่วนผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมจะไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างราบรื่นตามลำพัง

สาเหตุของภาวะสมองเสื่อม
@ การเสื่อมของเซลล์ประสาท จากการที่มีโปรตีนบางชนิดไปสะสมทำให้เซลล์ประสาทนั้นๆได้รับความเสียหาย ส่งผลต่อปัญหาในการทำงานของสมองได้
@ โรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง โรคไขมันในเลือดสูง
@ อายุ เมื่อร่างกายมีอายุมากขึ้น เซลล์สมองจะมีขบวนการชราภาพเกิดขึ้น ส่งผลให้เซลล์สมองบางส่วนเกิดการตาย และอาจนำไปสู่การเกิดภาวะสมองเสื่อมได้
@ พันธุกรรม หากมีความผิดปกติของพันธุกรรมบางอย่าง อาจทำให้มีความเสี่ยงที่สูงขึ้นในการมีภาวะสมองเสื่อม
ภาวะสมองเสื่อมมีกี่ระยะ
ภาวะสมองเสื่อมสามารถแบ่งง่ายๆ เป็น 3 ระยะ คือ ระยะเริ่มต้น ระยะกลาง และระยะท้าย โรคสมองเสื่อมมักมีความแตกต่างในระยะความรุนแรงและอาการของแต่ละบุคคล รวมถึงอาจมีอาการเสริมที่เกี่ยวข้อง เช่น ปัญหาทางอารมณ์ ปัญหาพฤติกรรรม และปัญหาทางจิตเวช ดังนั้น การดูแลและการรักษาโรคสมองเสื่อมจะต้องปรับตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคลและระยะของโรคที่เป็น

วิธีรักษาและการป้องกันภาวะสมองเสื่อม
ภาวะสมองเสื่อมยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดอย่างชัดเจน การรักษาภาวะสมองเสื่อมมักมุ่งเน้นที่การลดอาการโดยการใช้ยาบางประเภทในการควบคุมอาการของภาวะสมองเสื่อม และพยายามชะลอให้อาการสมองเสื่อมแย่ลงช้าที่สุดโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อม สามารถช่วยเหลือตัวเองและอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างปกติและนานที่สุด
ภาวะสมองเสื่อมมีวิธีทางการแพทย์ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงและส่งเสริมให้สมองทำงานได้ดีขึ้น ดังนี้
-การออกกำลังกาย : การออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพของสมอง เนื่องจากมีผลดีต่อการเสริมสร้างเนื้อเยื่อสมองและช่วยให้กระบวนการสมองทำงานได้ดียิ่งขึ้น
-การดูแลสุขภาพทั่วไป : การรักษาโรคที่เพิ่มความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคหลอดเลือดสมอง
-การฝึกสมองในผู้สูงอายุ : อาจช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจำและการประมวลผลข้อมูลของผู้ที่เริ่มมีอาการขี้ลืม หรือเริ่มมีภาวะสมองเสื่อมในระยะต้นได้
-การดูแลอารมณ์และจิตใจ : การปรับเปลี่ยนการคิดเชิงบวกและการจัดการกับความเครียดอาจช่วยลดการเสี่ยงในการเกิดอาการของภาวะสมองเสื่อม.