จากศึก “เนสกาแฟ” สะบั้นรักกับตระกูล “มหากิจศิริ” อดีตผู้ผลิตเนสกาแฟ ที่ล่าสุดถูกศาลสั่งเบรกไม่ให้ผลิตและขายในประเทศไทยนั้น เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการร้านกาแฟ เพราะปัจจุบันผู้ขายวัตถุดิบกาแฟ “ไม่ได้มีรายเดียว” ในไทย ฉะนั้น เพื่อความอยู่รอดของร้านกาแฟต่างๆ ย่อมต้องหากาแฟแบรนด์ใหม่ๆเข้ามาทดแทนอย่างแน่นอน ขณะเดียวกันยังเป็น “โอกาส” ให้กาแฟแบรนด์อื่นๆได้ขึ้นมาผงาดในตลาดบ้าง

จากปี67ตลาดกาแฟมีมูลค่า 31,000 ล้านบาท เติบโตปีละ 3.5% แบ่งเป็น

กาแฟ3in1 มูลค่า 15,000 ล้านบาท

  • เนสกาแฟ ส่วนแบ่งการตลาด 63%
  • ซูเปอร์กาแฟ ส่วนแบ่งการตลาด 12%
  • เบอร์ดี้ ส่วนแบ่งการตลาด 10%
  • มอคโคน่า ส่วนแบ่งการตลาด 10%
  • เขาช่อง ส่วนแบ่งการตลาด 3%
  • อื่นๆ 2%

กาแฟพร้อมดื่ม มูลค่า 10,000 ล้านบาท

  • เบอร์ดี้ ส่วนแบ่งการตลาด 70%
  • เนสกาแฟ ผู้นำอันดับ 2

กาแฟผงสำเร็จรูป และกาแฟฟังก์ชันนอล 3in1 มูลค่า 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • กาแฟผงสำเร็จรูป มูลค่า 4,000 ล้านบาท ขับเคลื่นด้วยเนสกาแฟผู้นำตลาดมายาวนานกว่า 30ปี ด้วยกิจกรรมการตลาดและนวัตกรรมใหม่ๆ เช่นเครื่องชงกาแฟ NESCAFE Red Cup
  • กาแฟฟังก์ชันนอล มูลค่า 2,000 ล้านบาท มีเนเจอร์กิ๊ฟเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 50%

ขณะที่เมล็ดกาแฟในประเทศไทยเริ่มขาดตลาดจนต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศถึง 50% นั้น ทำให้มองว่าการหยุดรับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรนั้น “ไม่ส่งผลกระทบ” เพราะปัจจุบันเมล็ดกาแฟในไทยขาดตลาดจนต้องนำเข้าปีละ 50% ฉะนั้นหากมีผู้รับซื้อหายไป 1 ราย ก็เป็นโอกาสของการขายและนำเข้าเมล็ดกาแฟลดลง