จากกรณี นายยุทธนา วิมลเมือง หัวหน้ากลุ่มงานป้องกันการทุจริต สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำ จ.ตรัง ในฐานะเลขาฯ ชุดตรวจสอบมาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ นำกำลังลงพื้นที่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา เพื่อตรวจสอบความโปร่งใสการบริหารงาน บริเวณเกาะสี่และเกาะแปดพร้อมกัน โดยไม่แจ้งล่วงหน้าให้ ว่าที่ร้อยเอก ฤทธิกรณ์ นุ่นลอย หัวหน้าอุทยานฯ หมู่เกาะสิมิลัน ทราบก่อน พบว่า มีการจองตั๋วคนไทยในระบบ E-ticket ไม่เกิน 10 คน แต่ ป.ป.ช. ตรวจนับหน้าหาด พบว่าไม่มีคนไทย แต่กลับพบมีต่างชาติ 50 คน เข้าข่ายขบวนการฉีกตั๋วผี ทำให้ ว่าที่ร้อยเอก ฤทธิกรณ์ นุ่นลอย หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ถูกสั่งย้ายพร้อมตั้งคณะกรรมการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
แฉเล่ห์ ‘ฉีกตั๋วผี’ หมู่เกาะสิมิลัน แสร้งเปลี่ยนทัวร์ฝรั่งเป็นคนไทย กินส่วนต่าง 400%
ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 28 มี.ค.68 แหล่งข่าวระดับสูง ชุดตรวจสอบมาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ ของ ป.ป.ช. รายงานว่า การสุ่มตรวจอุทยานฯหมู่เกาะสิมิลัน เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่จะสุ่มตรวจอุทยานฯทางทะเลทางฝั่งอันดามัน การที่ล็อกเป้าอุทยานฯหมู่เกาะสิมิลัน เนื่องจากเป็นจุดที่จัดเก็บค่าเข้าอุทยานฯ ในระบบ E-ticket 100% แต่ช่วงหลังมาพบว่ามีเรื่องร้องเรียนจำนวนมาก จึงได้ลงสุ่มตรวจ
โดยจากการลงสุ่มตรวจวันที่ 25 มี.ค.68 ก็พบหลักฐานชัดเจน เกี่ยวกับขบวนการเปลี่ยนตั๋วหรือฉีกตั๋วผี นอกจากนี้เมื่อตรวจเรือผู้ประกอบการ 10 แห่งที่นำนักท่องเที่ยวเข้าไปบริเวณเกาะสี่และเกาะแปด พบว่าแต่ละลำนำนักท่องเที่ยวเข้าไปได้ลำละ 40 คน หากมีการจ่ายในระบบถูกต้อง อุทยานฯจะได้ลำละ 20,000 บาท ต่อวัน เมื่อคำนวณทั้งหมด 10 ลำ ก็จะได้ถึง 2 แสนบาท แล้วมีการเปลี่ยนตั๋วเกิดขึ้น เงินตรงนี้หายไปไหน อีกทั้งการจัดเก็บในระบบ E-ticket ก็มีจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้น้อยลงชัดเจน ขัดกับความเป็นจริง ทำให้เชื่อได้ว่าไม่ได้มีการนำรายได้เข้าสู่ระบบ จึงได้มีการเรียกข้อมูลทั้งหมดมาตรวจสอบ ส่วนการกระทำผิดที่พบจากผู้ประกอบการ ทางอุทยานฯ ก็ดำเนินการปรับเป็นพินัยแก่ผู้ประกอบการ โดยทาง ป.ป.ช. พบความผิดปกติที่ตรวจพบ คือ ตั๋วไม่ตรงกับจำนวนนักท่องเที่ยว ตั๋วไม่ตรงประเภท คือเปลี่ยนตั๋วนักท่องเที่ยวจากต่างชาติเป็นคนไทย เจ้าหน้าที่อุทยานฯไม่ตรวจนับจำนวนนักท่องเที่ยว และ การตรวจนับไม่ตรง แต่ไม่เปรียบเทียบปรับ
อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช. อยู่ระหว่างตรวจข้อมูลที่มีการบันทึกไว้ เพื่อนำไปตรวจสอบข้อมูลการทำประกันนักท่องเที่ยวกับทาง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. ว่าข้อมูลตรงกันหรือไม่ รวมถึงตรวจการเสียภาษีนิติบุคคลของผู้ประกอบการเรือนำเที่ยวเอกชน หากพบข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยวที่นำเข้าสู่ระบบ E-ticket ไม่ตรงกันกับข้อมูลการทำประกันภัยนักท่องเที่ยว ก็จะเตรียมดำเนินคดี กับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ฐานความผิด ม.157 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ส่วนผู้ประกอบการ ก็จะสามารถดำเนินคดีฐานสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิด ซึ่งมีอัตราโทษ 2 ใน 3 ซึ่ง ป.ป.ช. เตรียมดำเนินการเต็มที่อย่างแน่นอน ไม่มีมวยล้มต้มคนดู.