จากกรณี ด.ต.กิตติศักดิ์ เดชชู หรือบอย อายุ 37 ปี สังกัด ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ช่วยราชการสืบ ตม.3 มีอาการมึนเมา ก่อเหตุทำร้ายร่างกาย ร.ต.ต.พาสกร พาชูระเบียบนา รอง สวป.สภ.สัตหีบ อายุ 54 ปี หัวหน้าตู้ยามเตาถ่าน ด้วยการชก ต่อย เตะ และจับศีรษะโขกพื้น จนมีอาการเลือดคั่งในสมอง และฟันหน้าบนหักหนึ่งซี่ ขณะเข้าระงับเหตุก่อความวุ่นวาย ซึ่งผู้ก่อเหตุทุบกระจกหน้าบ้านอดีตแฟนเก่า จนแตกเสียหาย ภายในบ้านเลขที่ 105/51 ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี นอกจากนี้ ผู้ก่อเหตุยังชิงเอาอาวุธปืนพกสั้นประจำกายของ ร.ต.ต.พาสกร หลบหนีไปด้วย ส่วน ร.ต.ต.พาสกร ถูกนำตัวส่งรักษายังห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี รักษาอาการโดยด่วนนั้น
คืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 26 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี พร้อมด้วย พ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์ วาพันสุ รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี พ.ต.อ.คมสรร คำตุ่นแก้ว ผกก.สภ.สัตหีบ ผู้บังคับบัญชา และเพื่อนตำรวจ ได้เดินทางเข้าเยี่ยมเดูอาการ ร.ต.ต.พาสกร พาชูระเบียบนา ผู้ใต้บังคับบัญชา ที่นอนพักรักษาตัว ณ ห้องพิเศษ 2116 หอผู้ป่วยชาย 2 โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ พร้อมมอบอาหารเสริม เครื่องดื่มบำรุงกำลัง และเงินบำรุงขวัญ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ
ซึ่งด้าน ร.ต.ต.พาสกร และครอบครัวที่มาเฝ้าดูอาการ ต่างรู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นที่สุด และขอบคุณผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น ที่ให้ความห่วงใย ซึ่งหากอาการหายดีเป็นปกติ ก็พร้อมจะกลับไปปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ สำหรับอาการบาดเจ็บโดยรวมดีขึ้นอย่างมาก หน้าตาผ่องใส แต่ยังมีเลือดคั่งในสมองเล็กน้อย สามารถพูดคุยเป็นปกติ และจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ หากอาการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง พรุ่งนี้ก็สามารถกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านได้ ส่วนฟันที่หัก ทางทันตแพทย์ ได้เตรียมทำฟันปลอมให้ใส่ทดแทน
สั่งดำเนินคดี-ฟันวินัยเด็ดขาด ด.ต.หัวร้อน ชื่นชม ‘รองสารวัตร’ ระงับเหตุรวดเร็วกล้าหาญ
พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ ได้กล่าวกำชับกับทางโรงพยาบาล และ ผกก.สภ.สัตหีบ ในฐานะผู้บังคับบัญชาโดยตรง ให้ทำการรักษาอย่างดีที่สุด อย่าได้กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ขอให้ข้าราชการที่มีความเสียสละต่อหน้าที่ กลับมามีชีวิตที่เป็นปกติสุขดังเดิม ส่วนข้าราชการตำรวจที่กระทำความผิด เมื่อเป็นตำรวจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แต่กระทำความผิดเสียเอง ทำร้ายตำรวจด้วยกัน ถือเป็นการไม่ให้เกียรติในเครื่องแบบตำรวจ จึงต้องลงโทษให้หนัก 4 ข้อหา ประกอบด้วย ชิงทรัพย์ บุกรุกยามวิกาล ทำให้เสียทรัพย์ และทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ ถึงขั้นหมดอนาคต อีกทั้งได้คัดค้านการประกันตัว
อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยนายตำรวจที่ถูกทำร้ายเป็นอย่างมาก โดยกำชับเรื่องคดีให้ลงโทษกับผู้กระทำความผิดอย่างเด็ดขาด เพื่อให้ประชาชนเห็นว่า ตำรวจที่กระทำความผิด ต้องได้รับโทษตามกฏหมาย ไม่ใช่เป็นการช่วยเหลือกัน ในส่วนของการปฏิบัติหน้าที่ การเข้าระงับเหตุโดยเฉพาะ การทะเลาะวิวาท คนเมาสุรา ซึ่งได้กำชับมาเสมอ ให้ปฏิบัติงานตามยุทธวิธี ทำงานเป็นบัดดี้ มีคู่หูคอยช่วยเหลือกันและกัน ซึ่งการปฏิบัติงานคนเดียว ถือเป็นการผิดหลักยุทธวิธีที่เคยกำชับ เพราะการปฏิบัติงานทุกครั้ง ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ
ต่อมา พล.ต.ต.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ ผบก.ตม.3 ได้ลงนามคำสั่งกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 3 ที่ 62/2568 ให้ ด.ต.กิตติศักดิ์ เดชชู ผู้บังคับหมู่ ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดระยอง ช่วยราชการกองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 3 ออกจากราชการไว้ก่อน