เมื่อเวลา 12.40 น. วันที่ 25 มี.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ ที่มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภา คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อพิจารณาเรื่องด่วน ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล วันที่ 2 โดย น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน อภิปรายว่า แม้ปัญหาอาชญากรรม สแกมเมอร์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดูเหมือนว่าจะได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลแต่สิ่งนี้เป็นเพียงภาพลวงตา เป็นเพียงผักชีโรยหน้า ที่รัฐบาลอยากให้ประชาชนเชื่อว่าตัวเองเอาจริง แต่ในความเป็นจริง นายกฯ ยังมีพฤติกรรมที่ไม่อาจไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดินได้อีกต่อไป เพราะขาดภาวะผู้นำ  ปล่อยให้เกิดภาวะเกี่ยงงาน จนทำให้เกิดความเสียหายกับประชาชน แต่นายกฯ ยังลอยตัวอยู่เหนือปัญหา และจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนและพวกพ้อง จงใจปล่อยให้เกิดการทุจริตในระบบราชการ มองดูการคอร์รัปชั่นโดยไม่จัดการจนวันนี้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะไปจบตรงไหน

“ความเสียหายที่เกิดขึ้น เกิดจากการมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อแพทองธาร  ชินวัตร ทั้งๆ ที่ประเทศควรได้ตัวเลือกที่ดีกว่านี้ และที่เป็นเช่นนี้ เกิดขึ้นก็เพราะตัวนายกฯ และครอบครัวนายกฯ ไปทำดีลประเทศกับปีศาจ เอาผลประโยชน์คนทั้งชาติไปแลกกับผลประโยชน์คนในครอบครัว สะท้อนถึงความไม่ซื่อสัตย์สุจริต หากปล่อยไว้ให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไปมีแต่จะทำให้ประเทศเสียหายอย่างร้ายแรงจนยากที่จะแก้ไขเยียวยา ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถปล่อยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกแม้แต่วันเดียว” น.ส.รักชนก กล่าว

น.ส.รักชนก กล่าวว่า ถ้าดูจากตัวเลขความเสียหายในการหลอกลวงเงินคนทั่วโลกในปี 2566 สูงถึง 2.24 ล้านล้านบาท ซึ่งในความเสียหายอยู่ที่ 3 ประเทศที่มีชายแดนติดกับประเทศเราคือ ลาว กัมพูชา และพม่า โดยตัวเลขของกัมพูชา 430,000 ล้านบาท ซึ่งคือตัวเลขที่หลอกลวงคนไทย และยังมีตัวเลขความสูญเสียที่ไม่ได้มีคนไปแจ้งความอีกจำนวนมาก ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าอยากให้ประเทศไทยเป็นฮับท่องเที่ยว ฮับดิจิทัล ฮับการบิน แต่เราเป็นได้แค่ฮับเดียวคือฮับของคนที่ทำท่าเป็นนักท่องเที่ยว แต่จริงๆ แล้วเข้ามาทำธุรกิจสีเทา ตนยืนยันว่าปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้นเร่งด่วน และทุกคนเจอกับตัว แม้กระทั่งนายกฯ เองที่ถูกห้อมล้อมด้วยความปลอดภัยยังถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อ้างว่าเป็นผู้นำประเทศหลอกให้โอนเงิน วันนี้มิจฉาชีพยังเข้าถึงข้อมูลนายกฯ ได้แล้ว คิดว่าตาสีตาสาเขาจะรอดหรือ ทั้งนี้ประชาชนอยากได้นายกฯ ที่มาแก้ไขปัญหาให้ไม่ได้อยากได้นายกฯ ที่มาบอกว่าเจอปัญหาแบบเดียวกัน แต่ตัวเองรอด ถ้าเป็นนายกฯ แล้วทำได้แค่นี้ เราไม่ต้องมีนายกฯ ที่ชื่อแพทองธารก็ได้

น.ส.รักชนก กล่าวว่า การตัดไฟ ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์มีความสว่างก็เป็นทรัพยากรไฟจากประเทศเรา ซึ่งการตัดไฟเป็นก้าวแรกในการทำลายรังของมิจฉาชีพ แต่เป็นก้าวแรกที่ยากลำบากมาก เรื่องการตัดไฟนั้นมีแค่ 2 รองนายกฯ ที่เกี่ยงกันไปมา แต่นายกฯ เองที่มีหน้าที่ไม่เคยออกมาพูดเรื่องนี้เลย จนกระทั่งนายทักษิณ ชินวัตร ออกมาพูดเรื่องตัดไฟเพื่อนบ้าน ตนไม่แน่ใจว่านี่หรือไม่คือคนที่มีอำนาจในการสั่งการ ครม. หรือจะเป็นหลิวจงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ต้องหอบสังขารมาถึงไทย ซึ่งน่าเศร้าใจแค่ไหนที่มาหวังให้รัฐมนตรีจีนกดดันรัฐบาลไทยทำหน้าที่ของตัวเอง รวมถึงธุรกิจที่ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่มีกลุ่มทุนที่อาจเสียประโยชน์ ซึ่งตั้งแต่ที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทำหน้าที่ 2 ปี แต่พระราชกำหนดเพื่อแก้ปัญหาและให้ธนาคารร่วมรับผิดชอบต่อผู้เสียหายยังไม่ออกมาบังคับใช้ จึงควรทบทวนปรับออกจากตำแหน่ง

“น่าโมโหหรือไม่ที่เอกชนนำข้อมูลประชาชนไปวิเคราะห์ทำกำไรเพิ่ม แต่เมื่อข้อมูลหลุดกลับไม่รับผิดชอบ ขณะที่รัฐบาลไม่ดำเนินการใดๆ กรณีที่มีนายกฯ ชื่อ แพทองธาร จึงติดขัดเพราะไม่ว่าหันหน้าทางไหนมีผลประโยชน์ต่อกลุ่มทุน การจัดการเรื่องนี้ต้องบังคับให้กลุ่มทุนรับผิดชอบ ให้เขามีกำไรน้อยที่สุด โดยนายกฯ ควรเกรงใจประชาชน ไม่ใช่เกรงใจเพื่อนพ่อ หรือ กลุ่มทุน” น.ส.รักชนก กล่าว

น.ส.รักชนก กล่าวอีกว่า การจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รัฐบาลไม่เคยจัดการรายใหญ่ได้ เป็นเพราะเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมืองอำนวยความสะดวกให้หรือไม่ กรณีที่รัฐบาลย้ายนายตำรวจยศใหญ่อย่าง พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ หรือ ผู้การต๊ะ ผู้บังคับการกองตรวจราชการ 5 ที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แล้วทำอย่างไรต่อมีการพิสูจน์เส้นเงินหรือคนในครอบครัวว่าเกี่ยวข้องหรือไม่ นอกจากนั้นแล้ว ยังมีบุคคลที่ชื่อย่อ “ย.ยักษ์” ที่ใกล้ชิดกับบิดานายกฯ ในพื้นที่ จ.เชียงราย ทำให้ไม่สามารถปราบปรามได้

“ปัญหาไม่ใช่ความไร้ประสิทธิภาพอย่างเดียว แต่จงใจปล่อยปละเพราะมีผลประโยชน์แอบแฝง ซึ่งต่างจากการปราบปรามปัญหาของต่างประเทศที่มีการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบทั้งกระบวนการ ซึ่งการทำงานของ น.ส.แพทองธาร ไม่กล้าแตะประโยชน์ของกลุ่มทุน เพราะไม่ว่ากลุ่มทุนไหนได้ร่วมโต๊ะกับพ่อนายกฯ มาแล้ว ขณะที่ทุนเทา คือลูกน้องของพ่อนายกฯ ซึ่งนายกฯ ทำเป็นมองไม่เห็น ทำให้ประเทศไทยเป็นสวรรค์ของมิจฉาชีพ ครอบครัวชินวัตรเอาประโยชน์ของคนในชาติแลกประโยชน์กับตระกูลตัวเอง”

ทั้งนี้ในระหว่างการอภิปรายของ น.ส.รักชนก ช่วงหนึ่งได้หยุดอภิปราย ก่อนกล่าวว่า “เงียบเหงามากไม่มีใครลุกประท้วงดิฉันเลย” ซึ่งได้สร้างเสียงหัวเราะให้กับสส.พรรคประชาชนที่นั่งให้กำลังใจโดยรอบ.