เมื่อวันที่ 25 มี.ค. นายแพทย์เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้ให้ความรู้สุขภาพว่า ระวังให้ดีมีอาการแบบนี้อาจเป็นมะเร็งใน 6 เดือน

1. น้ำหนักลดแบบไหนที่ต้องระวัง?

เวลาที่อยู่ๆ น้ำหนักก็ลดลงแบบไม่ตั้งใจ ทั้งที่ไม่ได้คุมอาหารหรือออกกำลังกายหนักขึ้น บางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องดี แต่จริงๆ แล้ว ถ้าน้ำหนักลดมากกว่า 5% ของน้ำหนักตัวในช่วง 6-12 เดือน (เช่น จาก 70 กก. เหลือ 66 กก. โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย) อาจมีอะไรมากกว่านั้น

งานวิจัยล่าสุด “Prioritising primary care patients with unexpected weight loss for cancer investigation: diagnostic accuracy study (update)

Brian D Nicholson et al. BMJ. 2024. ”ศึกษาคนกว่า 3 แสนคน พบว่า การที่อยู่ๆ น้ำหนักแบบนี้อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็ง โดยเฉพาะถ้าเกิดกับคนที่อายุเกิน 50 ปี หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย มันก็จะดีนะ ถ้าเจอเร็ว ก็มีโอกาสรักษาได้ทัน แต่ความน่ากลัวคือ หลายคนมองข้ามมันไป

2. ใครบ้างที่เสี่ยงที่สุด?

ถ้าพูดถึงโอกาสที่น้ำหนักลดจะเกี่ยวกับมะเร็ง งานวิจัยนี้ชี้ว่ากลุ่มเสี่ยงสูงคือ

-ผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป

-ผู้หญิงอายุ 60 ปีขึ้นไป

-คนที่เคยสูบบุหรี่

-คนที่มีอาการอื่นร่วมกับน้ำหนักลด

สำหรับคนกลุ่มนี้ โอกาสเป็นมะเร็งภายใน 6 เดือนหลังจากเริ่มน้ำหนักลดนั้นสูงกว่า 3% ซึ่งถือว่าเยอะพอที่หมอจะแนะนำให้ตรวจหาโรคมะเร็งแบบจริงจังนะครับ

ส่วนคนที่อายุน้อยกว่านั้น ถ้าไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย โอกาสเป็นมะเร็งก็ค่อนข้างต่ำ (ต่ำกว่า 3%) ซึ่งหมายความว่าไม่จำเป็นต้องรีบตรวจหามะเร็งในทันที

3. อาการอะไรบ้างที่ต้องจับตา?

น้ำหนักลดเองอาจยังไม่บอกอะไรมาก แต่ถ้ามาพร้อมกับอาการอื่นๆ โอกาสเป็นมะเร็งจะเพิ่มขึ้น งานวิจัยนี้พบว่า

ในผู้ชาย มี 17 อาการที่สัมพันธ์กับมะเร็ง เช่น

-อ่อนเพลียตลอดเวลา

-ปวดท้องบ่อย

-ดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง)

-ไอเรื้อรังแบบไม่มีเหตุผล

-กลืนอาหารลำบาก

-อาเจียนเป็นเลือด

-ปัสสาวะเป็นเลือด

-คลำเจอก้อนในทวารหนัก

ในผู้หญิง มี 8 อาการที่สัมพันธ์กับมะเร็ง เช่น

-ปวดหลังเรื้อรัง

-ดีซ่าน

-คลำเจอก้อนในอุ้งเชิงกราน

-อาเจียนเป็นเลือด

-ปัสสาวะเป็นเลือด

ถ้ามีอาการเหล่านี้ร่วมกับน้ำหนักลด โอกาสเป็นมะเร็งพุ่งสูงขึ้นหลายเท่านะ เช่น ในผู้ชาย

ถ้ามีอ่อนเพลียร่วมกับน้ำหนักลด

โอกาสเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น 1.43 เท่า

แต่ถ้าพบก้อนที่ทวารหนัก โอกาสจะสูงถึง 21 เท่า เลยทีเดียว ส่วนผู้หญิง ถ้ามีปวดหลังร่วมกับน้ำหนักลด โอกาสเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น 1.28 เท่า และถ้ามีก้อนในอุ้งเชิงกราน ความเสี่ยงสูงถึง 19.46 เท่า

4. ตรวจเลือดช่วยบอกอะไรได้บ้าง?

นอกจากอาการแล้ว งานวิจัยยังพบว่า ค่าตรวจเลือดบางอย่างผิดปกติอาจเป็นตัวบ่งชี้มะเร็งได้ โดยเฉพาะค่าที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบหรือการเปลี่ยนแปลงของเม็ดเลือด เช่น

-อัลบูมินต่ำ (โอกาสเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น 3.24 เท่า)

-เกล็ดเลือดสูง (3.48 เท่า)

-เม็ดเลือดขาวสูง (3.01 เท่า)

-ค่า C-reactive protein (CRP) สูง (3.13 เท่า)

แต่ไม่มีค่าตรวจเลือดไหนที่สามารถบอกได้ชัวร์ๆ ว่าคุณไม่มีมะเร็ง เพราะฉะนั้นถ้าผลเลือดปกติ แต่ยังมีอาการที่น่าสงสัย หมออาจยังต้องตรวจเพิ่มเติม

5. แล้วเราควรทำยังไงต่อ?

ถ้าแค่ผอมลงเพราะออกกำลังกายหรือกินน้อยลง ก็ไม่ต้องกังวล แต่ถ้าน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ และมีอาการต่อไปนี้ร่วมด้วย รีบไปหาหมอเถอะ

-น้ำหนักลด >5% ภายใน 6-12 เดือน โดยไม่มีเหตุผล

-รู้สึกอ่อนเพลียเรื้อรัง หรือเบื่ออาหาร

-ปวดท้อง ไอเรื้อรัง กลืนลำบาก ดีซ่าน อาเจียนเป็นเลือด

-คลำเจอก้อนที่ผิดปกติ เช่น ที่อุ้งเชิงกราน หรือทวารหนัก

-ผลตรวจเลือดผิดปกติ เช่น เกล็ดเลือดสูง เม็ดเลือดขาวสูง CRP สูง

สรุปง่ายๆ คือ ถ้าคุณอายุ 50 ปีขึ้นไป (หรือ 60 ปีขึ้นไปในผู้หญิง) และน้ำหนักลดแบบไม่มีเหตุผล พร้อมอาการแปลกๆ ควรไปพบหมอเพื่อตรวจหามะเร็ง อย่ารอให้สายเกินไป เพราะการเจอเร็ว ช่วยเพิ่มโอกาสรักษาหายได้สูง

ส่วนคนอายุน้อยกว่านี้ ถ้าไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย โอกาสเป็นมะเร็งยังต่ำอยู่ แต่ถ้ามีอาการที่กล่าวมาข้างต้น ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่น้ำหนักลดจะเป็นมะเร็ง อาจมีสาเหตุอื่น เช่น โรคเรื้อรัง การเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน หรือความเครียด แนะนำไปหาหมอเพื่อหาสาเหตุเถอะ ดีกว่าเสียใจทีหลัง ใครมีคำถามก็คอมเมนต์ไว้ได้เลยนะ

ขอบคุณเพจหมอเจด