จากกรรณี ดร.เมย์ วาสนา อินทะแสง หรือ”มาดามเมนี่” นักธุรกิจสาวพันล้าน ถูก ดิว อริสรา ดาราสาว ยืมทรัพย์สินมูลค่ากว่า 62 ล้านบาท แต่ไม่คืน แถมนำไปจำนำต่อ ประกอบด้วย กระเป๋า 2 ใบ แอร์เมส รุ่นเคลลี่, สร้อย bvlgari, สร้อยมรกต lotus arts de vivre ชิ้นเดียวในโลก และนาฬิการิชาร์ดมิลล์ รุ่น อาร์เอม 23 กระทั่งมี น.ส.มณฑกาญณ์ หรือเกด เจริญโชติสุรดิษ อายุ 30 ปี เหยื่อสาวเปิดใจว่าโดนดาราสาวขังในโรงแรม 5 วัน บังคับหาเงินมาคืน หลังเป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์ แต่ถูกอ้างเป็นของปลอม และใช้ชื่อ ส.ส. คนดังมาขู่ อีกคนถูกซ้อมยับ กลัวจนป่วยจิตเวช ตามที่เสนอข่าวให้ทราบนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 มี.ค.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับไทม์ไลน์คดีดังกล่าว สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 3 ต.ค.2567 เวลา 19.19 น. นางสาวมณฑกาญณ์ หรือเกตุ เจริญโชติสุรดิษ อายุ 30 ปี แจ้งความกับพนักงานสอบสวนว่า เมื่อวันที่ 1 มี.ค.2567 เวลา 18.12 น. มีนางสาวอัครศิริ หรือเทดดี้ สนุกแสน อายุ 36 ปี มาแจ้ง น.สเกตุ ว่า มีนายชาน และชาวต่างชาติผิวสี ต้องการแลกเปลี่ยนเงินสกุล US ดอลล่า จากสถานฑูตอเมริกา ธนบัตรฉบับละ 100 USD รวมมูลค่าประมาณ 99 ล้านบาทไทย เพื่อต้องการแลกเป็นเงินสกุลไทย จึงให้ น.ส.เกตุ ติดต่อหานายทุนเพื่อแลกเงินจำนวนดังกล่าว กระทั่งวันที่ 19 ก.ย.2567 น.ส.เกตุ ติดต่อไปยัง น.ส.อริสรา ทองบริสุทธิ์ หรือ ดิว อริสรา ซึ่งเป็นนายทุนที่ต้องการแลกเงินดังกล่าว 


ต่อมาวันที่ 20 ก.ย.2567 น.ส.เกตุ พร้อมด้วย นายธวัชชัย หรือแมน ซึ่งเป็นตัวแทน ดิว อริสรา เจ้าของเงิน, น.ส.อัครศิริ หรือเทดดี้, นายธนกฤต หรือชิน สิริวรางค์ และนายธิติ หรือบอส เติมกิจวาณิชย์ รวม 5 คน ตกลงหาสถานที่นัดหมายดูเงินดังกล่าว บริเวณโรงแรมดับเบิ้ลยู โฮเต็ล ถนนสาทร กรุงเทพฯ เมื่อไปถึงโรงแรมพบนายชาน (ไม่ทราบชื่อ-นามสกุลจริง) พาทั้ง 5 คนไปดูเงินUSD ซึ่งบรรจุภายในกระเป๋าที่บริเวณอาคารลานจอดรถ โดยพบว่าในกระเป๋ามีเงินจริง จนมั่นใจแล้วก่อนพากันกลับลงจากโรงแรมดังกล่าวเพื่อประชุมเรื่องการแลกเงิน 


น.ส.เกตุ ระบุอีกว่า จากนั้นนายชาน เดินตามมาสบทบเพื่อตรวจสอบเงินจำนวน 3.2 ล้านบาท และได้แลกเปลี่ยนเงินจำนวนดังกล่าวเสร็จสิ้น จากนั้นได้พากันโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด เพื่อตรวจสอบธนบัตรเงินดอลล่าภายในกระเป๋า กระทั่งพบว่าธนบัตรทั้งหมดเป็นของปลอม ที่ถ่ายเอกสาร และไม่มีรหัสธนบัตร ด้านหลังมีคำว่า “Sample” จึงเชื่อว่าถูกหลอก


ต่อมาเมื่อ น.ส.ดิว อริสรา ทราบเรื่องว่าธนบัตรทั้งหมดเป็นของปลอม จึงให้ น.ส.เกตุ กับพวก รับผิดชอบเป็นจำนวนเงิน 4 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเกินกว่าความเสียหายจริง โดยอ้างว่าเป็นค่าขาดโอกาส จึงให้ น.ส.เกตุกับพวก รวม 5 คน โอนเงินผ่านบัญชีธ.ไทยพาณิช ชื่อบัญชี นายมนัส เหล่าสุนทรวณิช และใช้คำพูดข่มขู่ว่า “ถ้าหากไม่ได้เงิน จะไม่ปล่อย น.ส.เกตุกับพวก 5 คน ออกไปจากโรงแรมสแตนดาร์ด” น.ส.เกตุ จึงเกิดความกลัว จึงโทรฯให้บิดา คือ นายสุธวิรจักขป์ เจริญโชติสุรดิษ นำเงินมาจ่ายโดยอ้างว่าเป็นค่าภาษีจากการแลกเงิน แต่ไม่สามารถหามาได้ จากนั้นนายมนัส ได้ข่มขู่ น.ส.เกตุกับพวก ว่าให้ไป น.ส.ดิว อริสรา เพื่อทวงถามความเสียหาย โดย น.ส.เกตุกับพวก ไม่ได้เต็มใจไปด้วย และ น.ส.เกตุ ยังอ้างด้วยว่ามีการกักขังหน่วงเหนี่ยว จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ

ต่อมาวันที่ 26 ก.ย.2567 บิดาของ น.ส.เกตุ ได้เดินทางมาพบตำรวจเพื่อขอให้พาไปตรวจสอบเหตุดังกล่าว ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ยานนาวา จึงไปตรวจสอบกล้องวงจรปิด และพบกับเจ้าหน้าที่โรงแรมเดอะสแตนดาร์ด พบว่ากลุ่มของ น.ส.เกตุ อยู่บริเวณภายในโรงแรมจริง ในลักษณะพักอาศัยตามปกติ มีการเดินเข้า-ออก โรงแรมเพื่อซื้ออาหาร และเครื่องดื่มอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนจึงเฝ้าดูในโรงแรม เพื่อให้แน่ใจว่า น.ส.เกตุ กับพวก ยังอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย ระหว่างเฝ้าสังเกตพบว่า นายมนัส ได้พวกกลุ่ม น.ส.เกตุ ทั้ง 5 คนลงมาทานอาหาร เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวและเชิญตัวทั้งหมดไปสอบสวน ที่ สน.ยานนาวา 

หลังพูดคุยทราบรายละเอียด ต่อมาภายหลังทั้งหมดมีการเจรจาตกลงชดใช้ค่าเสียหายร่วมกัน ส่วนกรณี น.ส.เกตุ ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว ได้รับความเสียหาย จึงมาแจ้งความร้องทุกข์เพื่อให้ดำเนินคดีกับ นายมนัส และ น.ส.ดิว อริสรา และบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในข้อหา “ร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยว และร่วมกันกรรโชกทรัพย์” พนักงานสอบสวนจึงรับคำร้องทุกข์ไว้เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย