เมื่อวันที่ 24 มี.ค. เวลา 14.25 น. ที่รัฐสภา  ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่มี นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151  นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน อภิปรายว่า ปี 2567 เป็นปีที่ประเทศต้องเจอภัยพิบัติที่รุนแรง ทั้งนํ้าท่วมครั้งใหญ่ ภัยแล้ง ฝุ่นพิษที่รุนแรง แต่ภัยพิบัติที่หนักที่สุด คือการมีนายกรัฐมนตรีชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร  ซึ่งเป็นภัยพิบัติที่ส่งผลกระทบต่อทรัพย์สิน ชีวิต และร่างกายของประชาชน ทั้งที่ไม่มีความรู้ ความสามารถ ความเป็นผู้นำ และไม่มีความตั้งใจในการแก้ปัญหา เป็นมนุษย์ที่เข้ามาบริหารประเทศเพียงเพราะผลประโยชน์ของบิดาและคนในครอบครัว ขณะเดียวกัน เด็กทุกคนรับฝุ่นพีเอ็ม 2.5 เข้าปอดเต็มๆ และไม่ใช่ทุกคนที่จะเกิดในครอบครัวที่มีเครื่องฟอกอากาศและห้องแอร์เหมือนบ้านจันท์ส่องหล้า

นายภัทรพงษ์ กล่าวอีกว่า 2 ปีแล้วที่รัฐบาลจัดการฝุ่นพีเอ็ม 2.5 แบบไม่ได้เรื่อง ไหนนายกฯ บอกว่าทำการบ้านมาแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ถือว่าเป็นการบ้านที่ชุ่ยและสร้างความวิบัติ มีนายกฯ ที่โกหกจนเคยชิน และติดตัวเป็นนิสัย ตั้งแต่แถลงนโยบายที่บอกว่าจะแก้ต้นตอ ลดการเผาไหม้ แต่ความจริงกลับเพิ่มขึ้นจากปี 2566 จาก 4 ล้านไร่ เป็น 8 ล้านไร่ แต่กลับแถลงผลงาน 90 วันว่าลดพื้นที่การเผาได้ 50 เปอร์เซ็นต์ เป็นการแคลมผลงานด้วยการโกหกประชาชน ขนาดมีฟ้าฝนมาช่วยแล้ว แต่ยังแย่ลง รัฐบาลก็เอาแต่คิดวิธีนำเสนอข้อมูลให้ตัวเองดูดี

นายภัทรพงษ์ กล่าวต่อว่า นายกฯ แคลมว่าค่าฝุ่นลดทั่วประเทศ 6 เปอร์เซ็นต์ แต่หากอ้างอิงตัวเลขจากกรมควบคุมมลพิษ ในปี 2568 ค่าฝุ่นพีเอ็ม 2.5 เพิ่มทั่วประเทศ 6 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกรุงเทพฯและปริมณฑลเพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ตนไม่แน่ใจว่านายกฯ อยู่โลกเดียวกับเราหรือไม่  ส่วนการที่รัฐบาลอ้างว่าลดการเผาอ้อยปริมาณมาก หากอ้างอิงแผนที่การปลูกอ้อยและภาพการเผาจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (จิสด้า) กลับพบว่าพื้นที่การเผามีทั้งหมด 2.8 ล้านไร่ คิดเป็นผลผลิต 28 ล้านตัน แต่รัฐบาลระบุว่าอยู่ที่ 11 ล้านตัน ตนขอถามว่ารัฐบาลเคยทำความเข้าใจปัญหาหรือไม่ว่า มีอ้อยที่เผาแล้วเข้าโรงงานโดยไม่ต้องรายงานจำนวนเท่าใด มีคนส่งอ้อยสดแล้วไปเผาใบอ้อยเท่าไหร่ แล้วรู้หรือไม่ว่ามีอ้อยเผาจ่อคิวเข้าโรงงานเท่าไหร่

”คนที่โกหกหลอกหลวงประชาชน จนไม่สนใจสุขภาพของประชาชน ขอโทษเถอะครับ เป็นเพื่อนยังไม่คบ จะให้เป็นนายกฯได้อย่างไร”นายภัทรพงษ์ กล่าว

นายภัทรพงษ์ กล่าวว่า การแก้ปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ต้องทำงานหนักสุดก่อนจะเกิดปัญหา ต้องมีมาตรการรับมือและออกกฎกระทรวง ไม่ต้องรอให้มีพ.ร.บ.อากาศสะอาด รวมถึงเร่งออกงบกลาง แต่น.ส.แพทองธารก็ยังไม่ทำในสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าต้องทำ ในช่วงเดือนต.ค.2567 มีแค่ข้อสั่งการลวกๆ 3 ข้อ แต่ไม่ออกมาตรการบังคับเรื่องข้าวโพดที่เผา หรือการออกหลักเกณฑ์ตรวจสอบการนำเข้า รวมถึงการสนับสนุนเกษตรกรายย่อยไม่ให้เผา นี่คือผลของการที่เรามีนายกฯที่ไม่มีความพร้อม จึงนํามาซึ่งหายนะ ตนอยากให้นายกฯช่วยเสแสร้งแกล้งทำเป็นจริงใจในการแก้ปัญหา เพราะการสั่งการลอยๆ ไม่มีเนื้อหาแบบนี้ จะทำให้รัฐมนตรีไม่เห็นค่า และหน่วยงานไม่เห็นหัว สุดท้ายคนที่ได้รับผลกระทบคือประชาชน

นายภัทรพงษ์ กล่าวอีกอีกว่า หากเรายังมีนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีความรู้ความสามารถ เชื่องช้าแบบนี้ ต้องรอให้นายทุนจูงจมูกไปได้เรื่อยๆ ปัญหาต่างๆ จะไม่มีทางแก้ได้เลย ลมหายใจจากประชาชน ไม่ใช่สิ่งที่จะมาขอร้องจากนายทุน อำนาจอยู่ในมือทำไมถึงไม่กล้าใช้ ทำงานแบบนี้ถึงไม่มีใครให้ค่าเลย เพราะแทบจะทุกหน่วยงานที่ไม่ได้ทำตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ย้อนกลับมาดูตัวเองหรือไม่ ไม่มีภาวะความเป็นผู้นำเช่นนี้ ยังกล้าเรียกตัวเองว่านายกรัฐมนตรีอยู่หรือไม่

“จุดประสงค์การเป็นนายกรัฐมนตรีของคุณคืออะไร ถ้ายังคิดว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตัวเองเลย อย่าคิดว่าตัวเองทำเต็มกำลังสุดความสามารถเพื่อลมหายใจของประชาชนแล้ว คุณไม่มีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่เลย ปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 พวกผมพูดเสนอแนะทุกทางที่จะเป็นไปได้ด้วยความหวังดี ปัญหานี้เป็นปัญหาที่หนัก ไม่มีใครที่จะแก้ปัญหาได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 1-2 ปี แต่ทำให้ดีกว่านี้ได้มาก วันนี้ผมไม่สามารถเรียกบุคคลคนนี้ว่านายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไป ทางออกเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้ คือคุณต้องออกจากตำแหน่งตรงนี้ คืนปอด คืนลมหายใจ คืนสุขภาพที่ดีได้แล้ว ลาออกเถอะ คุณไม่มีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้”นายภัทรพงษ์ กล่าว