เมื่อเวลา 15.17 น. วันที่ 24 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการประชุมสภาในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) กรณีการหลบเลี่ยงภาษีการโอนหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ซื้อที่ดินอัลไพน์ ว่า “การที่กล่าวหาว่านายกฯ คนนี้หนีภาษี ไม่ได้เป็นความจริงเลย และจริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม ถึงแม้ดิฉันจะอายุน้อยกว่าท่าน แต่ดิฉันมั่นใจว่าดิฉันเสียภาษีให้รัฐมากกว่าท่านแน่นอน ในเรื่องของบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินข อชี้แจงให้เข้าใจตรงกันแบบนี้ การแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นับตั้งแต่วันที่ดิฉันดำรงตำแหน่ง ซึ่งได้ยื่นต่อ ป.ป.ช. ครบถ้วนตามขั้นตอนทุกอย่าง และขณะนี้ได้มีการยื่นคำร้องเรื่องการตรวจสอบความถูกต้อง และเรื่องทุกอย่างที่ถูกฟ้องหรืออะไร ยังอยู่ในกระบวนการของ ป.ป.ช. ที่จะตรวจสอบตามขั้นตอน ดิฉันมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง และเต็มใจที่จะแสดงข้อมูลหลักฐานทุกอย่างที่ทาง ป.ป.ช. ขอมา ให้ความร่วมมือทุกประการ จนกว่าจะได้ข้อสรุปจาก ป.ป.ช.“ นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวชี้แจงต่อว่า ส่วนเรื่องธุรกรรมก่อนการดำรงตำแหน่ง ซึ่งทรัพย์สินกิจการของครอบครัวและของตนเอง มีการถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นมาตั้งแต่ปฏิวัติรัฐประหารวันที่ 19 ก.ย. 2549 เข้มข้นมาตลอด ไม่เคยมีตอนไหนไม่เข้มข้น ทุกบัญชีทุกธุรกรรมอยู่ในสายตา เปิดเผยโปร่งใสมานานมากแล้ว นอกจากนี้ ดิฉันขอยืนยันที่โดนตรวจสอบทั้งหมด และที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทรัพย์สินทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ที่ดินทุกแปลงทุกตารางวาที่ดิฉันและครอบครัวมี ออกโฉนดโดยรัฐทั้งหมด ไม่มีการซื้อที่ดินที่ไม่มีโฉนด การทำธุรกรรมในเรื่องหุ้นที่สมาชิกพูดถึงตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งเกิดขึ้นก่อนดิฉันเข้าสู่การเมืองหลายปี

นายกฯ กล่าวต่อว่า โดยความตั้งใจในการปรับโครงสร้าง ผลงานของการถือหุ้นบริษัทและการซื้อขายผ่านตั๋วสัญญาใช้เงินหรือตั๋วพีเอ็น เป็นหนังสือที่ให้คำมั่นสัญญา ว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้กับอีกคนหนึ่งตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งหนังสือดังกล่าว ดิฉันได้ติดอากรแสตมป์ตามกฎหมายเรียบร้อย และการซื้อขายบางรายการไม่มีการเสียภาษี เนื่องจากยังไม่มีการชำระเงิน และยังไม่ทราบจำนวน จึงยังเสียภาษีไม่ได้ ซึ่งการซื้อขายแบบนี้ จะเป็นภาระหนี้สินระหว่างดิฉันในฐานะผู้ซื้อ และครอบครัวในฐานะผู้ขาย ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ได้มีพฤติกรรมอำพรางใดๆ หากเกิดการซื้อขายต่างๆ ยอดหนี้ต่างๆ ที่เห็นก็ต้องแสดงชัดเจนในบัญชีอยู่แล้ว ดิฉันได้ยื่นต่อ ป.ป.ช. ไปหมดแล้ว สามารถตรวจสอบได้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่ทำมาตามปกติอยู่แล้วลองถาม สมาชิกฝ่ายค้าน ที่เคยทำธุรกิจอะไรประมาณนี้ไว้ ก็ได้มีการทำเรื่องตั๋วสัญญาการใช้หนี้แบบนี้บ้างไหม ถ้ามี ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเป็นเรื่องปกติ

“เรื่องการปรับโครงสร้างหุ้น จำเป็นต้องใช้การซื้อขาย แต่ ณ เวลานั้น ดิฉันไม่ได้มีความพร้อมที่จะชำระค่าหุ้นด้วยเงินสด จึงทำตั๋วสัญญาใช้หนี้แทน ซึ่งได้แสดงไว้บัญชีทรัพย์สินฯ ต่อ ป.ป.ช. เรียบร้อยแล้ว และได้พูดคุยกับครอบครัวอยู่แล้วว่าเรื่องนี้วางแผนที่จะชำระด้วย โดยรอบแรกจะเกิดขึ้นภายในปีหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ดิฉันและครอบครัวได้ตกลงกัน ไม่ได้มีปัญหาอะไร ย้ำว่าการซื้อขายทุกสิ่ง ทุกอย่างปรากฏหลักฐานในบัญชีทรัพย์สินของดิฉันอย่างแน่นอน ยังไงเราก็หลบการจ่ายภาษีไม่ได้อยู่แล้ว” นายกฯ กล่าว

นายกฯ ยังกล่าวถึงเรื่องที่ดินอัลไพน์ ว่า ตอนนั้นดิฉันอายุประมาณ 11 ขวบ และไม่ได้เป็นกรรมการบริษัท ก็ไม่แน่ใจว่า ท่านจะอภิปรายตั้งแต่ตอนนั้นด้วยหรือเปล่า และการซื้อที่ดินทุกแปลงของครอบครัว ไม่เคยซื้อที่ดินที่ไม่มีการออกโฉนดโดยหน่วยงานรัฐ เราทราบอยู่แล้วเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายเราก็ต้องทำ หลังจากนั้นเมื่อมีคดีความและขั้นตอนที่เกิดขึ้น ก็เป็นไปตามกระบวนการทุกอย่างจนดิฉันมาเป็นนายกฯ ก็ไม่เคยไปแทรกแซงใดๆ หรือสั่งหน่วยงานไหนให้แทรกแซง หรือทำเรื่องนี้ให้เป็นอย่างนั้น เพราะมันทำไม่ได้ ท่านอาจไม่เข้าใจกระบวนการทำงานที่แท้จริง มันแทรกแซงแบบนั้นไม่ได้ ดิฉันขอรับเรื่องนี้ไว้อธิบายให้ทุกคนเข้าใจเพิ่มขึ้นในอนาคต แต่เรื่องนี้จะมีรายละเอียดเพิ่มเติม เดี๋ยวเสร็จจากนี้ จะขออนุญาตมอบให้ รมว.มหาดไทย ชี้แจงเรื่องนี้เพิ่มเติมในรายละเอียด จะเข้าใจมากยิ่งขึ้น ว่าทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการทั้งหมด 

นายกฯ กล่าวด้วยว่า ส่วนเรื่องเขากระโดง ดิฉันในฐานะนายกฯ จะกำชับเรื่องนี้อย่างดี ให้ความเป็นธรรมกับประชาชน และทุกขั้นตอนจะต้องถูกดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายและตามกระบวนการ ขอให้มั่นใจว่าดิฉันทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ต้องผ่านกระบวนการ ตามระบบ ตามระเบียบ เพราะไม่เช่นนั้น จะเกิดความวุ่นวายต่างๆ ตามมา และไม่อยากให้ใช้เรื่องเซนซิทีฟเหล่านี้พูดให้เกิดความสับสนหรือเกิดความแตกแยกในสังคม เพราะเราเป็นคนรุ่นใหม่ น่าจะพร้อมที่จะรับฟัง ใครหรือผลงานที่ทำประโยชน์ต่อประชาชนก็ควรจะชื่นชมบ้าง จะได้เป็นกำลังใจในการทำงานด้วย อย่างน้อยเราก็เป็นคนไทยเหมือนกัน มั่นใจว่าทุกคนหวังดีกับประเทศไทยเช่นกัน ฉะนั้นการพูดเพื่อให้คนเกิดความเกลียดชังแตกแยก ดิฉันคิดว่าเราผู้มีวุฒิภาวะไม่ควรทำ.