เรียกได้ว่าเป็นกระแสที่กลายเป็นไวรัลอย่างมากอยู่ในขณะนี้ หลังเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “นพ.จิรรุจน์ ชมเชย” กุมารแพทย์โรคระบบหายใจ โดยเป็นเจ้าของเพจ “หมอจิรรุจน์” ได้แชร์เคสของ “เด็ก” ที่ชอบเคี้ยว “หมากฝรั่ง” โดยผลข้างเคียงมีอาการฟันผุและทอนซิล รวมถึงอะดินอยด์โต หนักสุดถึงขั้นติดเชื้อทางเดินหายใจ และในช่องปากบ่อยๆ ถึงแม้จะมีแคลอรีไม่มาก แต่หากมองสิ่งที่อยู่ข้างใน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของหมากฝรั่ง นี่แหละคือปัญหา นอกจากจะมีส่วนประกอบของน้ำตาลแล้ว ยังทำให้เกิดแบคทีเรียในช่องปากและทางเดินอาหารเปลี่ยนอีกด้วย

โดยหมอจิรรุจน์ ระบุข้อความว่า “หมากฝรั่งแคลอรีนิดเดียว จะทำเด็กอ้วนได้ยังไงคะหมอ และนี่คือคำถามจากคุณแม่ ที่ลูกประสบปัญหาอ้วนระดับ 180% “ideal body weight” โดยผมนั่งซักประวัติอาหารที่เด็กเหล่านี้กินแทบทุกคน มีอยู่รายหนึ่งแม่บอกว่าขนมก็กินไม่ได้มาก แต่ลูกชอบเคี้ยวหมากฝรั่งมาก คุณแม่เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นสาเหตุของความอ้วน แคลอรีมันน้อยมากๆ และนี่คือหมากฝรั่งตัวอย่างที่ผมได้มา ลองดูส่วนประกอบสิครับ หากมองแค่แคลอรีก็ต้องถือว่าน้อยนิดเดียว แต่หากมองสิ่งที่อยู่ข้างใน ซึ่งเป็นส่วนประกอบ ของหมากฝรั่ง นี่แหละครับคือปัญหา”

อีกทั้ง “สิ่งที่ส่งเสริมให้ระบบเผาผลาญ ของผู้ป่วยรายนี้ติดพันอยู่กับ “anabolic mode” ตลอดเวลา คือการกระตุ้นอินซูลินด้วยน้ำตาลตลอดเวลา คือว่างเป็นต้องเคี้ยว ต่อให้เด็กสามารถไปวิ่งออกกำลังกายได้ก็จริง แต่การออกกำลังกายดังกล่าว ก็จะสามารถใช้ได้เพียงแค่น้ำตาล และทำให้เด็กหิวมากขึ้น เมื่อถึงเวลากินก็กินมากขึ้น แถมสัดส่วนของอาหารก็ยังเป็นคาร์โบไฮเดรตจะเยอะ พอกินอาหารหลักเสร็จ แทนที่ระดับของอินซูลินจะได้ลดลง แล้วเปลี่ยนระบบเผาผลาญเข้าสู่ “catabolic” บ้าง กลับกลายเป็นว่าถูกเจ้าน้ำตาลในหมากฝรั่งนี่แหละ กระตุ้นให้อินซูลินกลับมาหลั่งอีกรอบ”

อย่างไรก็ตาม “วงจรของระบบเผาผลาญ ช่วงเก็บกับช่วงใช้ สูญเสียสมดุล ยังไม่รวมหายเลยนะจากน้ำตาล ที่ทำให้แบคทีเรียในช่องปาก และถ้าเดินอาหารเปลี่ยน ชนิดของแบคทีเรีย เจ้าถิ่น สำหรับรายนี้มาครบ “ฟันผุ ทอนซิล-อะดินอยด์โต ติดเชื้อทางเดินหายใจและในช่องปากบ่อยๆ ท้องผูก” ผมถึงบอกเสมอว่า การรักษาปัญหาของเด็กอ้วน คือการรักษาทัศนคติของผู้ปกครอง ที่ผิดเพี้ยนไปจากที่ควรเป็นเกี่ยวกับเรื่องอาหาร จริงๆ แล้วโภชนาการในเด็กไม่มีอะไรยากเลย แค่ให้บุตรหลานกินอาหารตามธรรมชาติ “natural-whole food” และละเว้นจาก “ultra-processed food” ไม่ได้มากที่สุด ปัญหาเหล่านี้ก็แทบไม่เกิดอยู่แล้ว”

ขอบคุณข้อมูล : หมอจิรรุจน์