ใกล้เข้ามาทุกทีกับการเลือกประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ในวันที่ 25 มี.ค. 68 และยิ่งใกล้วันเลือกเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าอุณหภูมิความเดือดก็ยิ่งจะสูงขึ้นเท่านั้น

ขณะนี้ มีบุคคลที่เปิดตัวว่าจะลงชิงชัยแน่ๆ 2 คนคือ นายสุชัย พรชัยศักดิ์อุดม นายกสมาคมกีฬาลอนเทนนิสแห่งประเทศไทยฯ  และ ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทยฯ

ส่วน คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล สมาชิกคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี เมมเบอร์) และนายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ ไม่เปิดตัว และไม่เคยบอกว่าจะเปิดตัว

ดูทรงแบบนี้ และล่วงเลยมาถึงตอนนี้แล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่ คุณหญิงปัทมา จะ “หลีกทาง”

แต่จะหลีกทางไปทางไหน จะไปทาง นายสุชัย ตามที่ปรากฏเป็นข่าวหรือไม่นั้น ต้องบอกว่า “จริงครึ่งไม่จริงครึ่ง”

คุณหญิงปัทมา กับ ประธานไอโอซีคนใหม่

เพราะสไตล์ คุณหญิงปัทมา เดินได้หมดทุกพื้นที่ในประเทศนี้ ไม่เคยปิดโอกาสตัวเอง ไม่เคยจำกัดตัวเองว่าอยู่ในวงไหน และไม่เคยบอกว่าตัวเองอยู่ฝ่ายไหน

ดังนั้น ใครจะบอกว่าเธออยู่ฝั่งเดียวกันก็ไม่ผิด แต่ก็ต้องไม่ลืมด้วยว่า เธอก็อาจจะอยู่อีกฝั่งด้วยเช่นกัน และพร้อมช่วยเหลือผลักดันทุกคน

ถามว่าแบบนี้แล้ว คุณหญิงปัทมาจะได้อะไร?

ตอบง่ายมากก็คือ ได้รับไปก็คือเครดิต และการรับรู้ของคนทั้งประเทศโดยที่ไม่ต้องเสียเงินโฆษณาสักบาทว่าเธอคือใคร มีบารมีแค่ไหน และไปไกลถึงระดับไหนในโลกแล้ว

แค่ระดับในประเทศ เธอไม่ต้องถึงกับลงแย่งชิงตำแหน่ง แสดงตัวว่าอยากเป็น อะไรขนาดนั้นก็ได้ เพราะฉันไปไกลถึงระดับอินเตอร์เนชั่นแนลแล้ว

ถือเป็นการเดินหมากที่ “เหนือชั้น” เกินคาดคิด

นายสุชัย

เอาล่ะ มาว่ากันถึงอีก 2 คนที่เหลือ ซึ่งบอกได้เลยว่า เอาจริงเต็มที่ทั้งคู่

เริ่มกันที่ นายสุชัย ที่ในวันเปิดตัว ประกาศแบบน่าตกใจว่า จะให้เงินช่วยเหลือแก่สมาคมกีฬาต่างๆ ถึง 100 ล้านบาท

ตกใจในที่นี้ ไม่ได้ตกใจยอดตัวเลขระดับร้อยล้าน แต่ตกใจว่า ประกาศกันโต้งๆ ว่าจะให้เงินกันแบบนี้ได้ด้วยหรือ?

นี่ถือว่าสุ่มเสี่ยงทีเดียว และคงทำให้หลายคนอดคิดไปไกลไม่ได้ว่า นี่คือนโยบายการแจกเงินใช่หรือไม่ และเงินที่จะให้นั้น จะให้ยังไง ให้ตอนไหน และให้ใคร?

ทีมงานนายสุชัย

นอกจากนั้น ยังมีการเปิดตัวทีมงานคนสำคัญคือ ดร.สีหศักดิ์ อารีราชการัณย์ ในฐานะแคนดิเดตเลขาธิการฯ

ดร.สีหศักดิ์ ปัจจุบันเป็นนายกสมาคมฟิกเกอร์และสปีดสเก็ตติ้งฯ และเห็นนามสกุลก็คงจะทราบว่าเป็นบุตรชายของ พลตรี จารึก อารีราชการัณย์ อดีตนายกสมาคมกีฬาตะกร้อฯ

กล่าวถึง “บิ๊กจา” นั้น ภาพชัดเจนมากว่าเป็น “คนตะกร้อ” เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ที่ผลักดันวงการตะกร้อจนประสบความสำเร็จระดับโลกอย่างแท้จริง

จึงไม่แปลกที่ลูกชายอย่าง ดร.สีหศักดิ์ จะถูกมองว่า อยู่ฝั่งสมาคมตะกร้อฯ ซึ่งนายกสมาคมคนปัจจุบันชื่อ ธนา ไชยประสิทธิ์ ที่เพิ่งเปิดตัว เป็นทีมงานของ ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ คู่แข่งของ นายสุชัย

เรื่องจึงค่อนข้างอีนุงตุงนัง และไม่รู้ว่าจะไปกันต่อยังไง

ส่วนกรณีที่บอกว่า นายสุชัย พร้อมจับมือกับคุณหญิงปัทมา นั้น ก็อย่างที่ได้อธิบายไปในช่วงต้นแล้วว่า จะบอกเช่นนั้นก็ไม่ผิดหรอก แต่คุญหญิงเธอก็พร้อมทำงานกับทุกฝ่ายอยู่แล้ว

ภาพของ นายสุชัย นั้น ต้องยอมรับว่า ถูกมองเป็นตัวแทนของ “ขั้วอำนาจเก่า” จากยุค พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่ต้องการเข้ามาเพื่อรักษาอำนาจเดิม การมาครั้งนี้จึงไม่ธรรมดาแน่ และอาจมี “มือข้างหลัง” ที่มองไม่เห็นแอบสนับสนุนอยู่

จึงต้องจับตาดูให้ดี และถือว่ามีโอกาสเหมือนกัน ถ้าหากว่า “ทั่วถึง” จริงๆ

อย่าลืมว่า เงิน 100 ล้านที่ประกาศจะให้นั้นไม่ได้น้อยเลย และหลายสมาคมกีฬาบ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวย มีเงินถุงเงินถังพอจะปฏิเสธข้อเสนอได้

ผศ.พิมล

แต่ฝั่งของ “บิ๊กเอ” ผศ.พิมล ก็ดูเหมือนจะมั่นใจเช่นกัน เพราะได้รับคำยืนยันจากหลายสมาคมแล้วว่าจะลงคะแนนเสียงให้ อีกทั้งยังมีเปรียบจากการเป็น “ผู้ถูกเลือก” ให้มาล้มขั้วอำนาจเก่า

ทีมงานเองก็อย่างปึ้ก ถือเป็นบิ๊กเนม และคุ้นชื่อกันดีในวงการกีฬาไทยทั้งสิ้น นำโดย “บิ๊กต้อม” ธนา ไชยประสิทธิ์ ที่จะมานั่งเก้าอี้เลขาฯ

นอกจากนั้นยังมี พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย นายกกิตติมศักดิ์สมาคมกีฬายกน้ำหนักฯ, กองเอก ชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ รองประธานสภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย (OCA) และ พล.อ.เดชา เหมกระศรี นายกสมาคมกีฬาจักรยานฯ

และอาจรวมถึง “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ

มาดามแป้ง

แม้ทีมงานจะปึ้ก และได้รับ “ไฟเขียว” ประกอบกับดีกรีชื่อชั้น ผลงาน บารมีเป็นที่ประจักษ์ แถมยังได้รับการยืนยันว่าพร้อมโหวตให้จากหลายสมาคมแล้วก็จริง

แต่บอกเลยว่า ตอนเลือกจริงๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ และขึ้นอยู่ที่การตัดสินใจของแต่ละสมาคมกีฬาในช่วงวินาทีสุดท้ายเท่านั้น

นี่ถือเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์วงการกีฬาไทย ที่มีการเปิดหน้าขับเคี่ยวแย่งชิงตำแหน่งประธานโอลิมปิคฯ กันชนิดดุเดือดขนาดนี้

มองมุมดี อาจเป็นมาตรฐานใหม่ที่จะทำให้เราได้คนที่ดีที่สุดเข้ามาทำงาน แต่มองอีกมุม ก็น่าคิดว่า ถ้าหากเลือกเสร็จแล้ว รู้ผลแล้วว่าใครแพ้-ใครชนะ จะทำให้เกิดรอยร้าวขึ้นมาในวงการหรือไม่

แน่นอนว่า ทุกคนล้วนเป็นผู้ใหญ่ และต่างเป็นคนกีฬาที่รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย จึงคงไม่มีปัญหาในการร่วมงานกันต่อไป

แต่ “ร่วมงานกันได้” ไม่ได้หมายความว่า “ร่วมงานกันได้ดี” เพราะคนเราลองมีแผลอะไรในใจแล้ว มักจะลืมยากเสมอ

ก็หวังว่าเหตุการณ์เช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้น และไม่ว่าใครชนะก็ขอให้ร่วมมือกันทำงานเพื่อพัฒนาวงการกีฬาบ้านเราต่อไป.