เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 20 มี.ค. ที่ห้องสารสิน อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) แถลงผลปฏิบัติการจับกุมหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวญี่ปุ่น พร้อมช่วยเหลือเหยื่อที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการนี้ โดยมี นายนาโอโตะ วาตานาเบะ เลขานุการเอกและผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (รอง ผบช.ทท.) พล.ต.ต.ทรงกลด เกริกกฤตยา ผู้บังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (ผบก.ปคม.) พล.ต.ต.ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ พ.ต.อ.ชย พานะกิจ หัวหน้ากลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ร่วมแถลงข่าว

กรณีที่ 1 จับกุมหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวญี่ปุ่น

การจับกุมครั้งนี้ เป็นผลจากการประสานข้อมูลของสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ซึ่งร้องขอให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของไทยดำเนินการจับกุมและเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของ นายยามากูชิ ผู้ต้องหาตามหมายจับของประเทศญี่ปุ่น ในข้อหาทำร้ายร่างกาย ฉ้อโกง ลักทรัพย์ และละเมิดกฎหมายควบคุมองค์กรอาชญากรรมญี่ปุ่น เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองตรวจสอบพบว่า นายยามากูชิ พักอาศัยอยู่ในย่านสาทร กรุงเทพมหานคร และได้ทำการจับกุมตัวเพื่อนำส่งกลับประเทศญี่ปุ่น

ทั้งนี้ จากการสอบสวนพบว่า นายยามากูชิ เป็นอดีตสมาชิกแก๊งยากูซ่า และเป็นหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชาและเวียดนาม โดยมีพฤติกรรมหลอกลวงชาวญี่ปุ่น และมักเดินทางเข้าออกประเทศไทยบ่อยครั้ง ทั้งยังเช่าที่พักราคาสูงถึง 180,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังพบว่า นายยามากูชิ ได้จัดตั้งบริษัท “ลาสซามูไร เจแปน” ซึ่งดำเนินธุรกิจซื้อขายงานศิลปะราคาสูง คาดว่าอาจใช้เป็นช่องทางฟอกเงินไปทั่วโลก เนื่องจากฐานข้อมูลของเว็บไซต์เป็นภาษาอังกฤษ

สำหรับการตรวจค้นที่พักของนายยามากูชิ พบชาวญี่ปุ่นอีก 4 ราย ซึ่งเคยต้องโทษในประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังพบทรัพย์สินดิจิทัลมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม

พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า นายยามากูชิ นับเป็นผู้ต้องหาที่ทางการญี่ปุ่นต้องการตัวมากที่สุด เนื่องจากพบว่าเป็นหัวหน้าแก๊งยากูซ่าระดับบนของประเทศญี่ปุ่น ที่คอยประสานการทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีความเชื่อมโยงกับฝั่งประเทศเมียนมา กัมพูชา และเวียดนาม โดยประเทศไทยมีกำหนดการส่งตัวประมาณต้นเดือน เม.ย.

กรณีที่ 2 การจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับของญี่ปุ่น

เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้รับการประสานจากทางการญี่ปุ่นให้ติดตามจับกุม นายมิยาชิตะ มาชิโระ ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีลักทรัพย์ ซึ่งจากมาตรการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้ชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ดังกล่าวจับกุมตัวนายมิยาชิตะ และส่งกลับมายังประเทศไทย นายมิยาชิตะ ยอมรับว่าได้ทำงานเป็นฝ่ายการเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตั้งแต่เดือน ม.ค. 68 ทางเจ้าหน้าที่ไทยได้ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ก่อนส่งตัวกลับไปดำเนินคดีในญี่ปุ่นต่อไป

กรณีที่ 3 การช่วยเหลือเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์

เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยให้ความช่วยเหลือชาวญี่ปุ่น 2 ราย ได้แก่ นายยาจิ อายุ 22 ปี และ นายอิชิกาว่า อายุ 47 ปี ซึ่งตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่การตรวจสอบพบว่าหนึ่งในนั้นเคยต้องโทษคดีลักทรัพย์ในญี่ปุ่น ทั้งสองเดินทางผ่านเส้นทางธรรมชาติเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน และมีความเชื่อมโยงกับคดีเยาวชนชาวญี่ปุ่นอายุ 16 ปี ที่ตำรวจไทยเคยช่วยเหลือก่อนหน้านี้ ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า สถานที่ทำงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว มีชาวญี่ปุ่นทำงานอยู่ประมาณ 10 คน ตำรวจไทยได้ประสานงานกับทางการญี่ปุ่นเพื่อส่งตัวผู้เสียหายทั้งสองกลับประเทศ และดำเนินการสืบสวนต่อไป

สำหรับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีเยาวชนญี่ปุ่นถูกหลอกไปทำงาน เจ้าหน้าที่มีข้อมูลว่าหัวหน้าแก๊งที่เป็นชาวญี่ปุ่นมีเชื้อสายจีน เป็นไปได้ว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศจีน ข้อได้เปรียบของหัวหน้าแก๊งรายนี้คือการประสานงานทำงานกับคนจีน โดยฝ่ายจีนมีหน้าที่เตรียมสคริปต์ข้อมูลการหลอกลวงบุคคล ทางญี่ปุ่นเชี่ยวชาญด้านเทคนิคคอมพิวเตอร์ หัวหน้าแก๊งทั้งสองจะมุ่งหลอกลวงไปที่คนประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก เฉพาะกลุ่มนี้ พบตัวเลขผู้เสียหายชาวญี่ปุ่น รวมเป็นเงินจำนวนกว่า 50,000,000 เยน

พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวอีกว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ เพื่อปกป้องพลเมืองของทั้งสองประเทศจากอาชญากรรมประเภทนี้

เมื่อถามว่าจำนวนของผู้ต้องหาและผู้เสียหายที่ทางการญี่ปุ่น ประสานให้ไทยช่วยจัดการมีจำนวนเท่าไร พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า ในส่วนของผู้ต้องหาที่ทางการญี่ปุ่นต้องการตัว ถือว่าทางการไทยได้จับกุมควบคุมมาครบแล้ว ในส่วนของเหยื่ออยู่ในระหว่างประสานงานคาดว่าตัวเลขไม่เกินที่ 20 คน.