เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 68 น.ส.สาวิตรี เชื้อพงษ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติพุเตย ได้รับแจ้งจากนายวิเชียร สมใจเพ็ง หัวหน้าหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ พต.2 (พุกระทิง) ว่าพบรถแบ๊กโฮ ขุดบ่อน้ำ 2 บ่อ บริเวณป่าบ้านวังโหรา หมู่ที่ 3 ตำบลองค์พระ อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี จึงได้แจ้งให้หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ พต.2 (พุกระทิง) เข้าตรวจสอบพื้นที่พบเป็นที่ดินสภาพพื้นที่ที่ใช้ประโยชน์เป็นการปลูกอ้อย เจ้าหน้าที่ได้ใช้เครื่องมือตรวจหาค่าพิกัดด้วยสัญญาณดาวเทียม (GPS) จับพิกัดบ่อน้ำ บ่อน้ำที่ 1 พิกัดที่ 0549034 E 1640057 N บ่อน้ำที่ 2 พิกัดที่ 0549453 E 1640575 N พบอยู่ในแปลงที่ดินทำกินตามมาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ชื่อผู้ครอบครอง แปลงที่พบบ่อน้ำที่ 1 ผู้แจ้งครอบครองชื่อนางกัณณ์พาณี และบ่อน้ำที่ 2 ผู้แจ้งครอบครอง ชื่อนายสุชิน

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพื้นที่บ่อน้ำที่ 1 พิกัดที่ 0549034 E 1640057 N ตรวจสอบพบว่าอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 ความยาวรอบบ่อ 18 เมตร ความกว้าง 6.80 เมตร ความลึก 3.50 เมตร คิดเป็นดินปริมาตร 428.4 ลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่เกินออกจากแปลงสำรวจถือครองตามมาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 เป็นเนื้อที่ 4.84 ตารางเมตร และพบว่ามีการนำดินที่ขุดบ่อไปกองขวางทางน้ำขนาดพื้นที่ กว้าง 3 เมตร ยาว 3 เมตร คิดเป็นเนื้อที่ 9 ตารางเมตร จึงแจ้งให้ทำการย้ายดินกองนั้นออกจากทางน้ำให้กลับคืนสู่สภาพปกติหรือใกล้เคียงสภาพเดิมให้มากที่สุด เพราะจะส่งผลกระทบต่อการไหลของน้ำ การกัดเซาะพังทลายของดิน และระบบนิเวศทั้งทางน้ำและทางบก

ขณะที่บ่อน้ำที่ 2 พิกัดที่ 0549453 E 1640575 N ความยาวรอบบ่อ 18.30 เมตร ความกว้าง 39.10 เมตร ความลึก 5 เมตร คิดเป็นดินปริมาตร 3,577.65 ลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่เกินออกจากแปลงสำรวจถือครองตามมาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 เป็นเนื้อที่ 295.45 ตารางเมตร

จากนั้นจึงนำตัว นายสุชิน และนายธวัชชัย พร้อมตรวจสอบและตรวจยึดของกลาง รถแบ๊กโฮ นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.องค์พระดำเนินคดี โดยดำเนินคดี กับนายสุชิน ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 54 และมาตรา 72 ตรี วรรคสอง ฐาน ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายท้ายป่า หรือเข้ายึดหรือครอบครองป่าฯ มาตรา 55 ฐานผู้ใดครอบครองป่าที่ถูกแผ้วถาง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลนั้นเป็น ผู้แผ้วถางป่านั้น ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 ประกอบมาตรา 31 ฐาน เก็บหาของป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มาตรา 19(1) ฐาน ยึดถือหรือครอบครองที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ ให้เสื่อมสภาพหรือเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ไปจากเดิม ประกอบมาตรา 41 ต้องระวางโทษจำคุกสี่ถึงยี่สิบปี ปรับตั้งแต่สี่แสนถึงสองล้านบาทฯ ตามมาตรา 40 จะดำเนินการประเมินค่าความเสียหายให้ภายหลัง

มาตรา 19(2) ฐาน เก็บหา นำออกไป กระทำด้วยประการใด ๆ ให้เป็นอันตราย หรือทำให้เสื่อมสภาพ ซึ่งไม้ ดิน หิน กรวด ทราย แร่ ปิโตรเลียม หรือทรัพยากรธรรมชาติอื่น หรือกระทำการอื่นใดฯ ประกอบมาตรา 42 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ปรับไม่เกินห้าแสนบาท มาตรา 19(5) ฐาน ปิดกั้นหรือทำให้กีดขวางแก่ทางน้ำหรือทางบก ประกอบมาตรา 44 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี ปรับไม่เกินสองแสนบาท

ส่วน นายธวัชชัย ดำเนินคดี พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54 และมาตรา 72 ตรี วรรคสอง ฐานก่อสร้าง แผ้วถาง หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายท้ายป่า หรือเข้ายึดหรือครอบครองป่าฯ มาตรา 55 ฐานผู้ใดครอบครองป่าที่ถูกแผ้วถาง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลนั้นเป็น ผู้แผ้วถางป่านั้น ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 ประกอบมาตรา 31 ฐาน เก็บหาของป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มาตรา 19(1) ฐาน ยึดถือหรือครอบครองที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ ให้เสื่อมสภาพหรือเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ไปจากเดิม ประกอบมาตรา 41 ต้องระวางโทษจำคุกสี่ถึงยี่สิบปี ปรับตั้งแต่สี่แสนถึงสองล้านบาท การชดเชยค่าความเสียหายให้แก่รัฐตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย สูญหาย และเสียหายไปนั้น ตามมาตรา 40 จะดำเนินการประเมินค่าความเสียหายให้ภายหลัง

มาตรา 19(2) ฐาน เก็บหา นำออกไป กระทำด้วยประการใด ๆ ให้เป็นอันตราย หรือทำให้เสื่อมสภาพ ซึ่งไม้ ดิน หิน กรวด ทราย แร่ปิโตรเลียม หรือทรัพยากรธรรมชาติอื่น หรือกระทำการอื่นใด อันส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพ และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกอบมาตรา 42 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ปรับไม่เกินห้าแสนบาท มาตรา 19(5) ฐาน ปิดกั้นหรือทำให้กีดขวางแก่ทางน้ำหรือทางบก ประกอบมาตรา 44 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี ปรับไม่เกินสองแสนบาท มาตรา 19(6) เข้าไปดำเนินกิจการใดๆ เพื่อหาผลประโยชน์ ประกอบมาตรา 44 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี ปรับไม่เกินสองแสนบาท.