เรียกเสียงฮือฮาไม่แผ่วจริงๆ สำหรับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นพูดเวทีไหน ก็มักโยนไอเดียล้ำหน้านำทางรัฐบาลของลูกสาว Gen Y อย่าง “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี
อย่างเช่น เรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ การให้สิทธิชาวต่างชาติซื้อที่อยู่อาศัยในรูปแบบการเช่าที่ดิน 99 ปี การเสนอให้ดึงธุรกิจใต้ดินขึ้นบนดินเพื่อเก็บภาษีมาใช้ในการพัฒนาประเทศ ข้อเสนอลดค่าไฟฟ้าให้เหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย การชี้เป้าฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ต่อมารัฐบาลเปิดโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” มาช่วยแก้ปัญหาหนี้ในกลุ่มเปราะบาง
ซึ่งไอเดียเหล่านี้ที่ออกจากปากอดีตนายกฯผู้พ่อในแต่ละโอกาส มีทั้งราวกับเป็นพิมพ์เขียวช่วยงานรัฐบาล “นายกฯอิ๊งค์” บางเรื่องเสมือนวาดฝันให้ความหวังแก่ประชาชน ขณะที่บางเรื่องถูกใช้เพื่อหวังผลทางการเมือง ทั้งเรียกคะแนนเสียง หรือกลบกระแสวิพากษ์วิจารณ์หรือการโจมตีรัฐบาล อีกทั้ง หลายเรื่องถูกตั้งคำถามมากมายว่าจะทำได้จริงแค่ไหน
เห็นได้จากการชงรัฐบาลลดค่าไฟฟ้าเหลือหน่วยละ 3.70 บาท จากราคาปัจจุบัน คือ 4.15 บาท แม้เจ้าของไอเดียยืนยันว่ามาจากการพูดคุยกับบริษัทด้านพลังงานแล้ว แต่ถูกมองว่านี่อาจเป็นเกมกระตุกเก้าอี้รมว.พลังงานคืนจากพรรคร่วมรัฐบาล และใช้เรียกคะแนนให้พรรคเพื่อไทย เพราะวันประกาศเรื่องนี้อยู่ในช่วงหาเสียงการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย แต่จนป่านนี้ยังไม่มีวี่แว่วเมื่อไหร่คนไทยจะได้จ่ายค่าไฟฟ้าถูกลงตามคำโฆษณา
และ “ทักษิณ” มาขายฝันแนวนี้อีกเมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา ว่าควรควบคุมค่าไฟฟ้าไม่ให้เกินหน่วยละ 2.50 บาท หวังช่วยดึงดูดนักลงทุน แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากประชาชน และยังถูกมองว่าเป็นแผนการดึงความสนใจของสังคมที่กำลังจับตา “นายกฯแพทองธาร” ในการเผชิญหน้ารับมือฝ่ายค้านเปิดศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ผู้เป็นพ่อยังพยายามต่อไปด้วยการเปิดประเด็นใหม่บนเวทีปราศรัยที่จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา เสนอวิธีซื้อหนี้ของประชาชนออกจากระบบธนาคาร ลบชื่อจากเครดิตบูโร เพื่อลูกหนี้เริ่มต้นทำมาหากินได้ โดยให้เอกชนมาลงทุนตรงนี้ ไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาท
ที่จริง เรื่องการซื้อหนี้เสียของประชาชนไม่ใช่เรื่องใหม่ และรัฐบาลชุดอื่นๆในอดีตก็เคยทำลักษณะคล้ายกันนี้สมัยเกิด “วิกฤตต้มยำกุ้ง” เมื่อปี 2540 แต่ผู้เชี่ยวชาญในภาคการเงินการธนาคาร และนักเศรษฐศาสตร์ มองว่าปัญหาเศรษฐกิจของไทยปัจจุบันแตกต่างจากเมื่อปี 2540 และวิธีอาจทำให้ปัญหาเศรษฐกิจยิ่งแย่ลง และจะเพิ่มภาระการคลัง รัฐบาลจึงควรจะต้องช่วยประชาชนหาทางสร้างรายได้ ซึ่งเป็นวิธีที่ยั่งยืน
ไอเดียรอบใหม่นี้จากผู้พ่อกลายเป็นหนึ่งความพยายามช่วยเบี่ยงเบนความสนใจต่างที่พุ่งใส่ลูกสาวสุดที่รัก พร้อมกลบเกลื่อนสิ่งที่รัฐบาลยังไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้สินของประชาชนได้เลย และเศรษฐกิจยังฝืดเคือง ปัญหาปากท้องประชาชนไม่ลดลง เป็นงูกินหาง นำพาให้หลายคนไปกู้หนี้ยืมสินมาโปะซ้ำอีก
สุดท้ายคงเป็นแค่ร่ายมนต์ขายฝันสะกดคนไทยไปวันๆให้จมอยู่ในวังวนเกมการเมืองไม่จบสิ้น