เมื่อวันที่ 18 มี.ค. พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญริงผบช.สอท. พล.ต.ต.ชัชปัณฑการณ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.3 ร่วมแถลงผลปฏิบัติการทลายโกดังและร้านค้าขายบุหรี่ไฟฟ้าทั้งทางหน้าร้านและออนไลน์ ใน 4 จังหวัดทั้ง กระบี่ ภูเก็ต ร้อยเอ็ด และขอนแก่น สามารถจับกุมผู้ต้องหาลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าได้ทั้งสิ้น 5 คน พร้อมตรวจยึดบุหรี่ไฟฟ้ากว่า 1,000 รายการ รวมมูลค่ากว่า 300,000 บาท
พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้าส่วนใหญ่เป็นการขายผ่านทางออนไลน์ แต่ก็พบบางร้าน อย่างที่จุดตรวจค้นในพื้นที่อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ ที่ขายในร้านขายเครื่องดื่มบริเวณหน้าโรงเรียนมัธยมชื่อดัง ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับกลุ่มนักเรียนและประชาชนทั่วไปอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ซึ่งตำรวจจับกุม นายชญานนท์ อายุ 27 ปี ไว้ได้ โดยผู้ต้องหายอมรับว่าจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าให้ลูกค้า โดยเฉพาะกับเด็กและเยาวชนในพื้นที่ใกล้เคียง แต่เมื่อรัฐบาลและตำรวจมีนโยบายปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างหนัก ก็ทำให้ผู้ต้องหายกเลิกการขายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับลูกค้า Walkin และเปลี่ยนเป็นต้องนัดเวลามารับสินค้าเท่านั้น อีกทั้งยังห้ามลูกค้าใส่ชุดนักเรียนมาซื้อ หรือห้ามตะโกนบริเวณร้านขายน้ำที่อยู่หน้าบ้านว่ามาซื้อบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงการติดตามจับกุมของเจ้าหน้าที่ด้วย
ซึ่งจากการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาก็พบว่ามีบัญชีลูกค้าที่เป็นนักเรียนและเยาวชนหลายสิบคน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในวัยมัธยมศึกษา และยังไม่พบลูกค้าที่อายุต่ำกว่า 13 ปี แต่รายละเอียดยังอยู่ระหว่างการขยายผล ซึ่งเบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหา “ขายหรือให้บริการสินค้าบารากู่ บารากู่ไฟฟ้า หรือ ตัวยา น้ำยาฯ” อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร

นอกจากนี้ ตำรวจ กองกำกับการ 4 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 5 ได้ทลายตลาดมืดออนไลน์ จับกุมเครือข่ายอาวุธเถื่อนโดยจับกุม นายโญ อายุ 44 ปี ที่โพสต์ปืนอวดลงโซเชียล ที่โชว์อาวุธปืนหลายกระบอก และชุดอุปกรณ์นส่วนปืน จับกุมได้ที่บ้านพักย่านอำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี
จากการตรวจค้นพบปืน Conversion Unit .22 LR ที่ไม่มีเลขประจำปืน ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนปืน 1 ชิ้น และยังพบชิ้นส่วนสำคัญของตัวปืนคือ ชุดสไลด์บน ประกอบด้วยลำกล้องปืนขนาด .22, สปริงรีคอยล์, เข็มแทงชนวน และซองกระสุน .22 ซึ่งหากนำอุปกรณ์ดังกล่าวหากนำไปประกอบกับโครงล่างของปืนที่ตรงรุ่น สามารถแปลงสถาพจากปืนขนาดเดิม ให้ใช้ยิงกับกระสุนปืนขนาด .22 ได้ และบังพบซองกระสุนปืนอีกด้วย
จากการสอบสวนผู้ต้องหา ให้การยอมรับว่า เป็นของตนเองทั้งหมดจริง และอ้างว่าซื้อมาจากเพจเฟสบุ๊กซื้อขายอาวุธปืนเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้วในราคา 27,000 บาท โดยอุปกรณ์ปืนดังกล่าว เป็นอาวุธปืนที่ไม่มีทะเบียน และตนเองไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนจากนายทะเบียน ส่วนที่นำไปโพสต์ลงโซเชียลเพื่อที่จะต้องการอวดอ้างและหาลูกค้าว่าตนเองสามารถดัดแปลงปืนได้ แต่ตั้งแต่ทำมายังไม่มีลูกค้ามาใช้บริการ ส่วนความรู้ในการดัดแปลงปืนศึกษามาจากกลุ่มปืนที่อยู่ เบื้องต้นได้แจ้งข้อหา มีอาวุธปืน (ปืนไม่มีทะเบียน) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน