สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงซานซัลวาดอร์ ประเทศเอลซัลวาดอร์ เมื่อวันที่ 17 มี.ค. ว่า ประธานาธิบดีนายิบ บูเคเล ผู้นำเอลซัลวาดอร์ ยืนยันการรับตัวชาวเวเนซุเอลา 238 คน ซึ่งต้องสงสัยเป็นสมาชิกแก๊งเตรน เดอ อารากัว หนึ่งในแก๊งค้ายาเสพติดรายใหญ่ของเวเนซุเอลา เพื่อไปคุมขังยังเรือนจำความมั่งคงสูงสุดในเอลซัลวาดอร์ ร่วมกับสมาชิกอีก 13 คน ของแก๊งค้ายาเสพติดเอ็มเอส-13
เบื้องต้น สมาชิกแก๊งอาชญากรรมชาวเวเนซุเอลาทั้ง 238 คน จะถูกคุมขังที่เรือนจำแห่งนี้ “เป็นเวลา 1 ปี” แต่ระยะเวลาคุมขัง สามารถขยายออกไปอีกได้ตามความเหมาะสม โดยสหรัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับนักโทษกลุ่มนี้ ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศเวเนซุเอลา ออกแถลงการณ์ประณาม
ด้านนายมาร์โก รูบิโอ รมว.การต่างประเทศสหรัฐ ทวีตข้อความบนเอ็กซ์ ขอบคุณความร่วมมือจากรัฐบาลเอลซัลวาดอร์ และยกย่องบูเคเลเป็นผู้นำด้านความมั่นคง ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญที่สุดของอเมริกา ในภูมิภาคแห่งนี้ อนึ่ง เอลซัลวาดอร์ตกลงรับตัวนักโทษในคดีอาชญากรรมร้ายแรงจากสหรัฐ สูงสุด 300 คน
— Rapid Response 47 (@RapidResponse47) March 16, 2025
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของสหรัฐและเอลซัลวาดอร์ เป็นผลจากการที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ใช้อำนาจตามกฎหมาย “ศัตรูต่างด้าว” (Alien Enemies Act) ฉบับปี 2341 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มอบอำนาจให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ในการควบคุมตัวและผลักดันบุคคลซึ่งไม่ใช่ชาวอเมริกัน และถือเป็นศัตรูของสหรัฐ”
อย่างไรก็ตาม การเนรเทศเกิดขึ้น ทั้งที่ศาลแขวงรัฐบาลกลางในกรุงวอชิงตัน มีคำสั่งระงับเป็นเวลา 14 วัน และนับเป็นเพียงครั้งที่สามในประวัติศาสตร์ของสหรัฐเท่านั้น ที่มีการบังคับใช้กฎหมายศัตรูต่างด้าว ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2355 โดยเป็นการเนรเทศชาวสหราชอาณาจักรกลุ่มหนึ่ง ส่วนครั้งที่สองเป็นการเนรเทศชาวญี่ปุ่น และชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นมากกว่า 100,000 คน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง.
เครดิตภาพ : AFP