นับเป็นอีกหนึ่งคนที่ห่างหายจากหน้าจอไปนานพอสมควร สำหรับ “บิ๊กเอ็ม กฤตฤทธิ์” พระเอกหนุ่ม ที่ล่าสุดได้ออกมาเปิดใจที่แรกหลังโพสต์เดือดลงโซเชียล โดนงานอีเวนต์จ่ายค่าตัวช้า พร้อมเล่าเรื่องราวปาฏิหาริย์ของการสร้างประติมากรรมองค์เทพฮินดูจนชีวิตเปลี่ยน แถมงานนี้ หนุ่มบิ๊กเอ็ม ยังเคลียร์สถานะหัวใจ ตอนนี้โสดหรือว่าไม่โสด หลังถูกจับตามองและมีการเปิดวาร์ปสาวคนสนิทที่ชอบชวนกันทำบุญ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง One31 หนุ่มบิ๊กเอ็ม เผยว่า

“สำหรับโพสต์ที่เดือดจวกงานอีเวนต์ เรื่องราวมันเมื่อปลายปีที่แล้ว ผมมีงานอีเวนต์ และมีโอกาสเอาองค์พระพิฆเนศที่ผมปั้นไปโชว์ พอเสร็จงานปุ๊บจะต้องมีการจ่ายเงิน แต่มันเลยระยะเวลาที่เขาต้องจ่ายมา 2 เดือนแล้ว ซึ่งช่วงเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา มันมีการแก้เอกสารบ่อยมาก ประมาณ 4 ครั้ง ตอนแรก เครดิตเทอมของเขา คือ 15 วัน ผมก็รอ เขาก็บอกว่าต้องแก้ไขเอกสารก็ส่งมาให้ผมแก้ไข ถัดมาเขาก็พิมพ์ตัวเลขผิด วันที่ผิด รอบต่อไปพิมพ์ค่าตัวที่เป็นภาษาไทยผิดก็ต้องแก้อีก ล่าสุดบอกให้เปลี่ยนสีหมึกปากกาที่เซ็น ตอนแรกผมเซ็นเป็นหมึกสีดำ เขาบอกว่าขอเปลี่ยนเอกสารใหม่ทั้งหมดให้เป็นสีน้ำเงินจนครบ 2 เดือน จุดที่ทำให้เราเดือดจนต้องโพสต์ออกสื่อ ก็น่าจะเรื่องล่าสุดที่บอกให้ผมเปลี่ยนสีปากกา ซึ่งถ้าจะให้เปลี่ยนต้องเปลี่ยนตั้งแต่ตอนแรกที่เซ็นไป ซึ่งทางคนจัดงาน เขาให้เหตุผลว่าเหมือนแอดมินส่งเรื่องช้า ยื่นส่งฝ่ายบัญชีช้า มันก็จะเป็นรอบถัดไปเรื่อยๆ ส่วนตอนนี้เพิ่งได้รับเงินล่าสุด เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ถ้าเราไม่ออกมาโพสต์ ก็อาจจะเป็น 25 กุมภาพันธ์ ปีหน้าถึงจะได้ ซึ่งปกติทำงานแล้วไม่เคยเจอแบบนี้เลยครับ ตั้งแต่เข้าวงการมาไม่เคยมีปัญหา และเป็นคนที่ไม่ได้โพสต์อะไรง่ายๆ ถ้าไม่โมโห ไม่โกรธจริงๆ การเลือกงานต้องละเอียดกว่านี้ เรื่องการคุยคุณแม่เป็นผู้จัดการ ที่ผ่านมามันไม่เคยมีปัญหา เราจะได้รับเงินก่อนและหลังเสร็จงานทุกครั้ง แต่ครั้งนี้อาจจะเป็นบทเรียนให้เราในครั้งต่อไป ว่าอาจจะต้องมีการเซ็นสัญญาเกิดขึ้น

ส่วนเรื่องการปั้นประติมากรรมฮินดู ก่อนหน้านี้มีพื้นฐานผมไม่มีพื้นฐานเลยครับ พูดเรื่องวิทยาศาสตร์ก่อน ส่วนตัวผมเป็นคนชอบงานศิลปะ แต่ไม่ใช่งานปั้น ชอบวาดภาพมาตั้งแต่เด็กแล้ว ถ้างานปั้นจะเป็นลักษณะปั้นดินน้ำมันส่งการบ้าน แต่งานปั้นที่เป็นลักษณะเป็นกอส ยังไม่เคยทำ องค์นี้เป็นงานชิ้นแรกที่ทำใช้เวลา 14 วัน สิ่งที่ดลใจให้ผมมาปั้นองค์เทพ ต้องเท้าความก่อน ส่วนตัวผมเป็นคนที่ศรัทธาและบูชาพระพิฆเนศ น่าจะประมาณ 15 ปีแล้ว แต่เราก็บูชาเหมือนคนปกติ ยังไม่ค่อยเข้าถึงเท่าไหร่ จนปี 2023 ผมได้มีโอกาสบินไปที่ประเทศอินเดีย ไปขอพร แต่เราไม่ได้ไปขอเรื่องนี้หรอก ก็ไปขอเงินเหมือนคนทั่วไป แต่สิ่งที่ได้กลับมาไม่ใช่เงิน แต่เป็นความสามารถ พลังงานบางอย่าง ที่ผมรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นหนทางที่ทำให้ผมได้รับความสำเร็จในสิ่งที่ผมขอก็ได้ หลังจากที่ผมกลับมาประมาณ 1 เดือน พระพิฆเนศมาเข้าฝัน ซึ่งในฝันผมกำลังนั่งปั้นพระพิฆเนศ ลักษณะประมาณนี้ แต่ว่าปั้นสององค์ ซึ่งในความฝันปั้นเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จสักที จนเรารู้สึกท้อ เสียใจ แล้วไปนั่งอยู่หน้าบ้าน และพระพิฆเนศก็มาให้เห็น ร่างกายสูงใหญ่ และได้ยินเป็นเสียงภาษาไทย แต่ไม่ได้อ้าปากพูด บอกว่า อย่าเสียใจไปเลย ลูกเก่ง ลูกทำได้อยู่แล้ว แล้วงวงพระพิฆเนศก็มารัดที่ตัวผม แล้วมาแตะที่หน้าผาก แล้วก็หายไปเลย คือตื่นมาก็ตกใจ เพราะมันเหมือนจริงมาก คือผมบูชามานานมาก แต่ไม่เคยฝันเลยนี่คือครั้งแรกในชีวิต หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน ตอนนั้นผมกำลังถ่ายซีรีส์อยู่ แล้วไม่รู้นึกยังไง ผมไปขอเงินไง มันอาจจะเป็นเมสเสจอะไรบางอย่างที่พระองค์ส่งข้อความมาให้ผมว่าอยากให้ลองปั้นฉันดู เผยแพร่บารมีของฉันหรือเปล่า ผมเลยลองเปิดดูยูทูบ ตอนนั้นนั่งอยู่ที่กอง ก็ดูว่าเขาใช้ดินอะไรในการสร้างโมเดล ขึ้นโครงยังไง แล้วก็เริ่มสั่งดินมาแล้วเริ่มทำ โดยที่ศึกษาผ่านยูทูบในการใช้วัสดุและใช้ลวดทำโครงสร้าง แต่เรื่องการปั้น ลวดลายต่างๆ เราใช้จินตนาการแล้วดูหนังสือส่วนหนึ่ง พอทำเสร็จก็โพสต์ลงโซเชียล มีคนขอพรแล้วสำเร็จ แล้วทักมาเล่าให้ฟัง คือพระพิฆเนศองค์นี้ จริงๆ ผมไม่ได้ตั้งใจทำออกมาให้คนบูชา ผมทำเก็บไว้ ทำให้คนได้เห็นความสามารถของเราอีกด้านหนึ่ง แล้วเก็บเป็นแกลเลอรีของเรา แต่กลายเป็นว่ามันมีคนที่รักและศรัทธา องค์พระพิฆเนศเขาเห็นภาพ เห็นคลิปขององค์นี้และเหมือนเขาศรัทธามาและขอให้มีบุญ มีวาสนาให้ได้บูชาพระองค์ แล้วก็มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับเขา และมันไม่ใช่แค่คนเดียว มันมีคนที่ 1-2-3-4 ทักมาเรื่อยๆ ผมก็แบบมันไม่ธรรมดาแล้ว เราอาจจะต้องทำออกมาให้คนที่เขารักและศรัทธาได้ไปเผยแพร่บารมี ก็เลยทำออกมาทั้งหมด 19 องค์ แต่ด้วยกระแสตอบรับตอนนั้น มันมีคนทักเข้ามาเยอะ ผมก็เลยทำทั้งหมด 24 องค์ แต่ทีนี้มันจะมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้น ตอนแรกที่ผมขอองค์พ่อไว้ให้แค่ 19 แต่ว่าตอนที่จะทำออกมา 24 องค์ ตอนที่จะส่งไปโรงงานบรรจุใส่กล่องแตก 5 องค์ เหลือ 19 องค์เหมือนเดิม เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคลด้วยนะ ขนส่งก็เป็นลอตเดียวกัน รถก็คันเดียวกัน ส่วนที่มันแตกคือขาหักบ้าง ทุกอย่างคือเละหมดเลย ช่วงที่ขนส่งจากโรงงานทำสี ส่งไปที่โรงงานกล่อง นั่นแหละแตกไป 5 องค์ พอเราโพสต์ลงโซเชียล ก็มีข่าวเมาท์อีกว่าทั้งหมดไม่ได้ทำเอง ทำเพราะสร้างกระแส ฟังแล้วรู้สึกเฉยมาก เรารู้ว่าเราทำอะไร เราสร้างผลงานนี้ขึ้นมาด้วยมือเรา หลายคนไม่เคยเห็นผมทำ เลยมีคำถามนี้เกิดขึ้น เลยไม่แปลกใจ ผมเลยตัดสินใจไลฟ์สดทำให้ดูเลยจะได้เชื่อ ซึ่งตอนนี้ก็ไม่มีข่าวเมาท์แล้ว

ซึ่งความยากขององค์ท่านอยู่เครื่องประดับ ทุกอย่างที่เป็นสร้อย มงกุฎต่างๆ นานา ตั้งแต่ที่ผมปั้นมา ถ้าเป็นเทพฝั่งผู้ชายจะปั้นค่อนข้างง่าย แต่ว่าด้วยความที่เป็นเทพผู้หญิง เขามีเครื่องประดับเยอะ ที่ต้องแก้ เพราะความรู้สึกเรา รู้สึกว่าองค์ท่านไม่ชอบ มันเป็นความรู้สึกส่วนตัว คือตอนที่ผมทำ มันจะมีช่วงหนึ่งที่ผมกำลังปั้นพระแม่อยู่ ผมไม่ได้ขออนุญาตก่อน คือทุกครั้งที่ผมปั้น ผมจะมีการขออนุญาต สวดมนต์ในแต่ละวันที่จะทำ แล้วก็บางวันอาจจะพูดจาไม่ค่อยดี พอกลับไปปั้นปุ๊บ สร้อยคอหลุดกลางไลฟ์เลยก็มี เครื่องประดับทุกอย่างหลุดกลางไลฟ์ หรือว่าอะไรต่างๆ มันจะมีเหตุเกิดขึ้น ช่วงที่ผมปั้นผมจะเปิดเพลง อย่างพระแม่ลักษมี ก็เป็นเพลงของเขาเลย อย่างคืนนั้นพอปั้นไปปุ๊บ มือก็ปวดแสบ ปวดร้อนโดยไม่ทราบสาเหตุแล้วจะคัน มันทรมานมากเลยครับ ซึ่งตอนนั้นอาจจะมีความคิดลบๆ ในหัวด้วย แล้วเราไม่ได้โฟกัสที่เขาไง พอโดนแบบนี้รู้เลยไหมว่าพระแม่อาจจะไม่ชอบให้เรามีพฤติกรรมอะไรแบบนั้น ซึ่งตอนแรกก็ยังคิดว่าเราอาจจะไปโดนสารเคมีอะไรบางอย่างหรือเปล่า คือผมปั้นมา 6 องค์แล้ว มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ก็เลยคิดว่า เขาอาจจะมาเตือนเรา ถ้าจะทำฉันก็ต้องทำให้ถูกต้อง จะมาทำแบบนี้ไม่ได้ เราก็มีการขออโหสิกรรม ที่บ้านผมจะมีเป็นห้อง ผมเข้าไปคือผมรู้แล้วว่ามือผมเป็นแบบนี้เพราะอะไร ก็คือขอโทษที่ตอนนั้นเราอาจจะไม่ได้ตั้งใจ หรือว่ามีความคิดที่มันไม่ดี หรือว่าพูดจาไม่ดี ขอให้กลับมาทำงานได้อย่างราบรื่น และทำองค์พ่อออกมาได้สวยงาม ตามที่ต้องการ แล้วก็ไม่เป็น ถามว่าเคยมีขอพรอย่างอื่นด้วยไหม นอกจากงาน ก็มีลองขอบ้าง แต่แปลกที่ว่าผมเป็นคนสร้างขึ้นมา ผมจะขอไม่ค่อยได้ แต่คนอื่นจะขอได้ คือเขาขอจากโซเชียลเลยครับ

หลังจากที่มานับถือในเรื่องของการปั้นเทพฮินดู ต้องบอกว่าผมศึกษามากขึ้น ตั้งแต่ปี 2023 ผมรู้สึกเลยว่าชีวิตผมเปลี่ยนไป ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราก็เริ่มอยากรู้อะไรมากขึ้น อย่างผมถ้าชอบอะไรมากๆ ผมจะศึกษาแล้วลงลึกแบบให้เข้าถึง ให้เข้าใจจริงๆ ในแบบที่มันถูกต้อง ผมก็มีไปเรียน และมีที่ปรึกษาเป็นอาจารย์ของคนอินเดีย ให้เขาช่วยดู อย่างองค์ล่าสุดก็มีที่ปรึกษา และศิลปินอินเดียมาช่วยผม ซึ่งไปอินเดียนี่ผมไปไหว้ แต่ทุกครั้งที่เราไป เราจะเจอคนที่เข้ามาในชีวิตเรา และเข้ามาช่วยเหลือเรามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทพ เรื่องงาน และได้รู้อะไรเยอะมาก แม้กระทั่งบางอย่างที่เราคิดว่ามันถูกต้อง แต่พอเราไปดูความเป็นออริจินอลจริงๆ นี่เราเข้าใจผิดมาตลอด อย่างเช่น การสวดมนต์ แม้กระทั่งตามศาลต่างๆ จะมีนโมตัสสะ ซึ่งจริงๆ ไม่มี เขาจะใช้คำว่า โอม เฉยๆ อย่างของไทยเขาจะมีการผสมผสานความเป็นพระพุทธเจ้ามานิดหนึ่ง บวกกับความเป็นไทยของเราด้วย ซึ่งถามว่าผิดไหม ก็ไม่ได้ผิด แต่ถ้าเป็นที่นู่น เขาค่อนข้างเรียบง่ายกว่า สวดง่ายกว่า ที่ผมไปศึกษามาทางศาสตร์อินเดีย เขาจะไม่ถวายของที่มีของคาว คือ พวกไข่ หรือว่าเป็นสิ่งที่มีชีวิต ส่วนใหญ่จะถวายเป็นลาดู และผลไม้ที่มีรสหวาน ซึ่งถ้าเป็นผลไม้รสเปรี้ยวมากๆ จะไม่แนะนำ

แล้วมีหลายคนสังเกตผู้หญิงที่ไปอินเดียด้วยกันคือใคร เขาคือพี่หนุ่ยครับ เขาเป็น CEO เจ้าของหลอดไฟ แล้วผมเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์นี้ครับ ก่อนจะเจอพี่หนุ่ย เขาบูชาพระพิฆเนศ ผมเลยชวนแกไปอินเดียด้วย เพราะผมไปแล้วประสบความสำเร็จ ส่วนสถานะตอนนี้ยังโสดอยู่ครับ”

