เมื่อเวลา 02.30 น วันที่ 13 มี.ค. พ.ต.ท.สุนทร พิมพ์พันธ์ สว.(สอบสวน) สภ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ ได้รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิตภายในบ้านเลขที่ 597/429 หมู่บ้านพฤกษา 82 หมู่ที่ 10 ต.ในคลองบางปลากด อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ  จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์ขนาด 2 ชั้น บริเวณชั้นล่างตรงที่นอน พบผู้เสียชีวิตเป็น 1 รายเป็นหญิงทราบชื่อต่อมา น.ส.เอ  อายุ 34 ปี  ต.ในคลองบางปลากด อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ สาวไรเดอร์ ลักษณะการแต่งกายใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีดำกางเกงขายาวสีดำ นอนอยู่บนที่นอน มีบาดแผลถูกอาวุธปืนขนาด 38 ยิงเข้าบริเวณหน้าท้อง (ใกล้ลิ้นปี่) 1 นัด และที่ศีรษะข้างซ้ายมีบาดแผลขนาดใหญ่ทะลุท้ายทอย 1 แผล ในที่เกิดเหตุยังพบปลอกกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 1 ปลอก ตกอยู่บนที่นอน และหัวกระสุนจำนวน 2 นัด ตกอยู่ใต้โซฟา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน

จากการตรวจสอบเบื้องต้นผู้ก่อเหตุคือ นายชัยวสิต  อายุ 42 ปี สามี  อาชีพเซลล์จำหน่ายอะไหล่รถยนต์ โดยผู้ตายกับผู้ก่อเหตุอยู่ด้วยกันมา 8 ปี มีลูกชาย 1 คน  อายุ 10 ปี ส่วนผู้ตายมีลูกสาว 1 คน กับสามีเก่า (ลูกติดผู้ตาย) น.ส.เอ อายุ 15 ปี โดยผู้ก่อเหตุกับผู้ตายได้แยกกันอยู่ประมาณ 3 ปี แล้ว ส่วนผู้ก่อเหตุได้กลับไปอยู่ที่บ้านเกิด จ.ศรีสะเกษ กับลูกสาวและลูกชายทั้ง 2 คน และก่อนหน้านี้ประมาณ 2 อาทิตย์ ลูกสาวเรียนจบที่ จ.ศรีสะเกษ ได้เดินทางมาหาแม่ที่บ้านที่เกิดเหตุ จนลูกสาวมาบอกแม่เล่าเหตุการณ์ตอนที่อยู่กับพ่อ(พ่อเลี้ยง)ที่ จ.ศรีสะเกษ ว่าถูกผู้ก่อเหตุหรือพ่อเลี้ยงล่วงละเมิดทางเพศหลายครั้ง

จากนั้นทางผู้ตายได้พาลูกสาว ไปปรึกษากับ น.ส.พี่สาว (ผู้ตาย) กับเหตุการณ์ที่ลูกสาวได้เล่าให้ฟัง ในระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันที่ จ.ศรีสะเกษ จนเมื่อเวลาประมาณ 01.00 น.วันนี้ ผู้ก่อเหตุพร้อมลูกชาย ได้ขับรถยนต์กระบะเดินทางมาจากจังหวัดศรีสะเกษ โดยนำรถไปจอดบริเวณปากทางเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งอเยื้องกับหมู่บ้านที่เกิดเหตุประมาณ 500 เมตร แล้วเดินเท้าพาลูกชายเข้ามาในหมู่บ้านเมื่อถึงที่บ้านเกิดมีปากเสียงกันกับผู้ตาย ก่อนที่ผู้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย จำนวน 4-5 นัด ต่อหน้าลูกสาวและลูกชาย

หลังจากนั้นจึงได้บังคับลูกสาวผู้ตายขึ้นรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นเวฟ สีดำแดง หมายเลขทะเบียน 7 กฆ 9699 กรุงเทพมหานคร ที่จอดอยู่หน้าบ้านของผู้ตายขับหลบหนีไป ทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ได้ลงพื้นที่ไล่กล้องวงจรปิดเพื่อติดตามล่าตัวผู้ก่อเหตุหรือสามี จนไปพบรถจักรยานยนต์จอดทิ้งไว้ที่บริเวณ ริมถนนประชาอุทิศ-คู่สร้าง ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 300 ม. แล้วจากนั้นผู้ก่อเหตุได้พาลูกสาวเปลี่ยนใช้รถกระบะ ยี่ห้อมิซูบิชิ รุ่น ไทตั้น 4 ประตู สีดำ หมายเลขทะเบียน 9 กส 6627 กรุงเทพมหานคร หลบหนีต่อเพื่อมุ่งหน้าไป จ.ศรีสะเกษ ขณะนี้ชุดสืบสวนได้ประสานตำรวจตามเส้นทางเพื่อเร่งไล่ติดตามตัวผู้ก่อเหตุ เพราะกลัวว่าลูกสาวที่ไปด้วยจะได้รับอันตราย

จากการสอบถาม แม่ผู้ตาย  อายุ 70 ปี  เล่าว่า ตนเองนอนอยู่คนเดียวด้านล่าง เห็นหลานเคาะประตูเลยเปิดประตูให้เขา พอเปิดประตูปุ๊บผู้ก่อเหตุก็เข้ามายืนตรงหน้าโทรทัศน์ ถามหาผู้ตาย ซึ่งเป็นลูกสาวตนเอง เลยบอกลูกสาวว่าสามีมา เลยถามว่าจะเอาอะไร ลูกสาวบอกว่า เอาทะเบียนสมรส จึงเอามาวางให้แล้วเขาคุยอะไรไม่รู้ จากนั้นลูกเขยก็เอาปืนมายิงหัวลูกสาว และ ยิงท้องด้วย ตอนแรกลูกสาวอยู่ข้างบน พอลงมาข้างล่างก็ยิงเลย เขาอยู่ด้วยกันนานแล้ว ลูกสาววิ่งไลน์แมน ผู้ชายทำงานเกี่ยวกับขายอะไหล่รถแถวศรีสะเกษ คุยกันแต่ไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาไปๆมาๆ มีการจดทะเบียนสมรสกัน มีปัญหาเรื่องหย่า ทะเลาะกันบ่อย ก่อนหน้านี้มีทำร้ายร่างกายเอามีดจี้ เราก็ห้าม เกือบตาย

สอบถาม พี่สาวผู้ตาย อายุ 49 ปี  เล่าว่า เมื่อประมาณ 2 ทุ่ม น้องสาวกับลูกสาว มาคุยเรื่องคนก่อเหตุเคยข่มขืนลูกสาวคนตาย อยู่บ่อยครั้ง หลานพึ่งจะมาบอกแม่เมื่อวันจันทร์นี้เอง ก็เลยคุยกันว่าน้องสาวจะจัดการแจ้งความจับ เราไม่รู้ว่าผู้ก่อเหตุจะมา หลานสาวเป็นลูกของน้องสาว ผู้ก่อเหตุเป็นพ่อเลี้ยง เขาไปอยู่ศรีสะเกษ 3 ปี ไม่รู้ว่าโดนข่มขืนตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนแรกแม่ก็ไปอยู่ด้วย ตอนหลังแม่เขากลับมาอยู่กรุงเทพ ส่วนลูกอยู่ที่นั่นปล่อยให้พ่อเลี้ยงเขาดูแล เพราะความไว้ใจ ให้น้องเขาเรียนที่นั่น พอจบ ม.3 ให้ย้ายมาที่นี่ ผู้ก่อเหตุโมโหว่าจะไม่ให้มาอยู่ แต่หลานเคยพูดว่าพ่อมีปืน แม่เขามาหาที่ทำงานมาปรึกษาเรื่องลูกสาวโดนพ่อเลี้ยงข่มขืนว่าจะทำยังไงดี มารู้อีกทีว่า เขามา(ผู้ก่อเหตุ)ก็เลยรีบเปิดกล้องวงจรปิดในบ้านดู ก็เห็นมันยิงน้องสาวเลย ตนตกใจมาก สติแตกด้วย น้องกลับมายังไม่ถึง 2 อาทิตย์เลยพึ่งจะเล่าให้แม่ฟังเมื่อวันจันทร์ ก็เลยแนะนำให้เขาตัดสินใจเพราะเขาเป็นแม่ เขาจะแจ้งความจับสามีเขา แต่ทางผู้ก่อเหตุไม่รู้เรื่องนะ

ส่วนทางเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ได้เข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานที่เกิดเหตุ และส่วนร่างผู้เสียชีวิต ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ มอบให้เจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิปอเต็กตึ้ง นำส่งสถาบันนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อชันสูตรหาสาเหตุการตายที่แท้จริง จากนั้นจะมอบศพให้ญาติแล้วไปดำเนินพิธีกรรมตามศาสนาต่อไป