วานนี้ (11 มี.ค. 2568) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มีการค้นพบว่าผู้ป่วยหลายคนที่ใช้กลุ่มยาโดปามีน อโกนิสต์หรือยากระตุ้นตัวรับโดปามีนในร่างกาย อาจประสบปัญหาร่างกายได้แรงกระตุ้นให้แสดงพฤติกรรมที่ควบคุมไม่ได้ เช่น การโชว์อวัยวะเพศ การติดเซ็กซ์ และกระทั่งการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ส่งผลให้พวกเขามีความรู้สึกละอายใจและสับสน
สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า บริษัทผู้ผลิตยาจีเอสเคนั้น รู้ว่าตัวยาของบริษัทสามารถกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมผิดปกติทางเพศมาตั้งแต่ปี 2546 ขณะที่ผู้ป่วยหลายคนยืนยันว่า แพทย์ที่รักษาพวกเขาไม่เคยแจ้งเตือนเลยว่าการใช้ยากลุ่มนี้จะมีผลข้างเคียงดังกล่าว
กลุ่มยาโดปามีน อโกนิสต์จะทำงานเลียนแบบสารโดปามีน ซึ่งเป็นสารเคมีสำคัญในสมองที่คอยควบคุมความเคลื่อนไหวและกระตุ้นความรู้สึกพึงพอใจ ยาเหล่านี้อาจไปกระตุ้นความรู้สึกพึงพอใจที่มากเกินไป แต่ทำให้ความสามารถของสมองด้านการรับรู้พฤติกรรมและผลจากพฤติกรรมถดถอยลงไป
สิ่งนี้อาจนำไปสู่ความผิดปกติในการควบคุมแรงกระตุ้น โดยผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน 13-24% ที่ใช้สารกระตุ้นตัวรับโดปามีนจะเกิดอาการดังกล่าว แม้ว่าจะมีคำเตือนถึงพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้ควบคู่กับคำเตือนถึงผลข้างเคียงทั่วไป เช่น อาการคลื่นไส้และนอนไม่หลับ แต่การวิจัยแสดงให้เห็นว่า มักไม่มีใครสังเกตเห็นหรือไม่ได้รับการวินิจฉัยพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้
ในสหรัฐอเมริกา สถาบันการแพทย์ด้านการนอนหลับของอเมริกาแนะนำให้ใช้ยากลุ่มนี้เพื่อการรักษาในระยะสั้นเท่านั้น เช่น การดูแลในช่วงประคับประคองช่วงสุดท้ายของชีวิต
ในปี 2546 มีรายงานจากจีเอสเคกล่าวถึงพฤติกรรมทางเพศที่ผิดปกติ 2 กรณีในผู้ชายที่ได้รับการกำหนดให้ใช้ยาริโพนิโรล ซึ่งเป็นยากระตุ้นตัวรับโดปามีนเพื่อรักษาโรคพาร์กินสัน
กรณีแรก ผู้ป่วยชายวัย 63 ปีล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิงวัย 7 ขวบ ในรายงานระบุว่าความต้องการทางเพศของผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่เริ่มการรักษาและ “ปัญหาของเขาได้รับการแก้ไขในภายหลัง” หลังจากลดปริมาณยาลงไป
นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยหญิงอย่างน้อย 20 รายที่ใช้ยากระตุ้นตัวรับโดปามีนในการรักษากลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุข กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ชีวิตของพวกเธอพังพินาศเพราะยากลุ่มนี้ หลายคนบอกว่าได้รับคำเตือนเกี่ยวกับผลข้างเคียงร้ายแรง แต่ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะทำให้เกิดพฤติกรรมทางเพศที่ผิดปกติ
ผู้ป่วยหญิงรายหนึ่งซึ่งใช้ชื่อว่า “แคลร์” เล่าว่าเธอเริ่มออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อมองหาคนที่เธอจะมีเซ็กซ์ด้วยได้ หลังจากที่เธอใช้โรพินิโรลได้ 1 ปีซึ่งในตอนแรกช่วยบรรเทาอาการขาอยู่ไม่สุขของเธอได้ดี เธอก็เริ่มมีความต้องการทางเพศอย่างรุนแรงและอย่างกะทันหัน บางครั้ง แคลร์จะสวมเสื้อซีทรูและเสื้อคลุมแล้วไปเปิดหน้าอกโชว์ให้ชายแปลกหน้าดู ทั้งที่เธอเองก็มีคู่รักอยู่แล้ว เธอกล่าวว่า ทั้งที่รู้ว่าพฤติกรรมเหล่านี้ไม่เหมาะสม แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ได้
แคลร์ เล่าว่าเธอใช้เวลาหลายปีกว่าจะรู้ว่าพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงทางเพศเหล่านี้เกี่ยวข้องกับยารักษาโรคของเธอ และเมื่อเธอหยุดใช้ยากลุ่มนี้ พฤติกรรมเหล่านี้ก็หายไปทั้งหมด แต่ยังคงรู้สึกอับอายและหวาดกลัวเมื่อคิดว่าสถานการณ์ของเธอก่อนหน้านี้อันตรายเพียงใด
ในหลายกรณี ผู้ป่วยหญิงเหล่านี้บอกว่า แพทย์ของพวกเธอไม่สามารถประเมินผลกระทบของยาต่อร่างกายของพวกเธอในระยะยาวได้
ซาราห์ ซึ่งเริ่มใช้ยากระตุ้นตัวรับโดปามีนชนิดใหม่เมื่ออายุ 50 ปี เผยว่า ความต้องการทางเพศของเธอที่เคยอยู่ในระดับต่ำได้พุ่งสูงขึ้นจนถึงจุดที่เธอติดยาอย่างหนัก เธอเริ่มเอาชุดชั้นในออกมาขายและถ่ายวิดีโอลามกไปขายทางออนไลน์ ให้บริการเซ็กซ์โฟนกับคนแปลกหน้า และชอปปิงอย่างบ้าคลั่งจนมีหนี้สินสูงถึง 30,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือล้านกว่าบาท
ซาราห์หันมารักษาตัวเองแทนโดยใช้ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์และยานอนหลับ สุดท้ายเธอก็ต้องเข้ารับการบำบัด ซึ่งทำให้เธอโดนยึดใบขับขี่และตกงาน
ในปี 2554 ผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน 4 รายยื่นฟ้องจีเอสเค โดยอ้างว่ายาโรพินิโรลทำให้พวกเขาติดพนันจนเป็นหนี้และชีวิตส่วนตัวล้มเหลว
พวกเขาชี้ว่า แม้จะมีการศึกษาที่เชื่อมโยงยาตัวนี้กับพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงดังกล่าวตั้งแต่ปี 2543 แต่กว่า จีเอสเคจะใส่คำเตือนไว้ในเอกสารผลิตภัณฑ์ก็รอจนถึงเดือนมีนาคม 2550 คดีนี้ยุติลงด้วยการยอมความ แต่จีเอสเคยังคงปฏิเสธความรับผิด
ในแถลงการณ์ของบริษัท จีเอสเคชี้ว่า มีการสั่งจ่ายยาโรพินิโรลโดยแพทย์เพื่อรักษาโรคมากกว่า 17 ล้านรายการ และ “ผ่านการทดลองทางคลินิกอย่างครอบคลุม” มาแล้ว นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่ายาตัวดังกล่าวได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิผลและมีความปลอดภัย แม้จะมีผลข้างเคียง แต่ก็ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนในข้อมูลของการสั่งจ่ายยา
ส่วนกรณีของรายงานปี 2546 ซึ่งระบุว่าพบความเชื่อมโยงของยากับพฤติกรรมทางเพศที่ “ผิดปกติ” ทางจีเอสเคกล่าวว่า ได้มีการแจ้งข้อมูลดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขแล้ว และได้แจ้งปรับข้อมูลการสั่งจ่ายยาให้เป็นปัจจุบัน ซึ่งระบุว่า การใช้ยาอาจให้ผลข้างเคียงเกี่ยวกับ “ความสนใจทางเพศที่เปลี่ยนแปลงไปหรือเพิ่มขึ้น” และ “พฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงอย่างสูง”
ที่มา : nypost.com
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES