เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 68 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ทั้งนี้ก่อนเข้าระเบียบวาระ ได้ให้ สส. หารือถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยนายปกรณ์ จีนาคำ สส.แม่ฮ่องสอน เขต 1 พรรคกล้าธรรม (กธ.) หารือว่า เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 68 ได้เกิดเหตุปะทะกันของชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน ตามแนวตะเข็บชายแดน แถวบริเวณบ้านรักไทย บ้านนาป่าแปลก บ้านห้วยมะเขือส้ม บ้านปางอุ๋ง ต.หมอกจำปา อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน โดยมีกระสุนปืนใหญ่ และลูกระเบิด ตกลงพื้นที่การเกษตรของพี่น้องประชาชนในบริเวณดังกล่าว ทำให้พี่น้องประชาชนในบริเวณดังกล่าวนั้น เกิดความวิตกกังวลในเรื่องของความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ พื้นที่ดังกล่าว มีประชาชนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น และที่สำคัญเป็นพื้นที่ด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญของ จ.แม่ฮ่องสอน ด้วย
“ผมขอฝากถึงฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยแก้ปัญหาและเข้าไปกำกับดูแล พร้อมสร้างขวัญกำลังใจให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่โดยด่วน” นายปกรณ์ กล่าว
สส.แม่ฮ่องสอน กล่าวต่อว่า นอกจากนี้การสู้รบของชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้านที่ติดกับบริเวณชายแดน ทำให้มีผู้อพยพเข้ามาใน จ.แม่ฮ่องสอน เป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้อพยพกลุ่มหนึ่ง ก็มีลูกหลานที่มีความประสงค์อยากให้ลูกหลานของเขาได้เรียนหนังสือในโรงเรียนของประเทศไทย แต่เราไม่สามารถที่จะดูแลและรับได้เนื่องจากว่าไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ ที่สำคัญคือ เราไม่ได้มีงบประมาณ และบุคลากรที่เพียงพอที่จะรับดูแลเด็กเหล่านี้
”เด็กที่อพยพเข้ามานั้น ส่วนใหญ่ก็จะมีอายุมากกว่าเด็กไทยของเราในช่วงชั้นเรียนเดียวกัน ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดปัญหา ในเรื่องของปัญหาสังคมในห้องเรียน และปัญหาสังคมในโรงเรียน อย่างไรก็ตาม ถ้าเรามีความจำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือและดูแลคนกลุ่มนี้ ก็ขอให้อยู่เป็นไปตามหลักเกณฑ์มนุษยธรรม แต่จะต้องไม่กระทบกับระบบการศึกษาและไม่กระทบกับลูกหลานชาวไทยของเราทุกๆ คน ผมจึงขอไปยังกระทรวงศึกษาฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าไปช่วยกำกับดูแล และขอให้เร่งดำเนินการด้วย“ นายปกรณ์ กล่าว.