เมื่อวันที่ 11 มี.ค. น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน และนายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน นายษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี นำมวลชน ผู้ประกันตนจำนวนหนึ่ง เดินทางมาชุมนุมกันที่สำนักงานประกันสังคม เพื่อติดตามผลการประชุมคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.)  ซึ่งมีการประชุมพิจารณาในเรื่องสำคัญ อาทิ 1. การปรับปรุงสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และหรือ การสูตรคำนวณบำนาญใหม่ ที่จะทำให้ผู้ประกันตนมาตรา 39 ได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น  2. พิจารณาร่างประกาศคณะกรรมการประกันสังคม เรื่อง การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์การลงทุนนอกตลาด และการลงทุนในกิจการร่วมลงทุนที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นอกตลาด ซึ่งเป็นประกาศสำคัญที่สามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์การลงทุนนอกตลาด จากเดิมที่ลงได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท กลายเป็น 137,000 ล้านบาท ซึ่ง อาคาร SKYY 9 เป็นตัวอย่างการลงทุนในหมวดนี้

ทั้งนี้ นายสหัสวัต ตอบคำถามสื่อมวลชนกรณีนายสุชาติ ชมกลิ่น  รมช.พาณิชย์ อดีต รมว.แรงงาน ระบุว่าตัวเลข 3 พันล้านบาทเป็นราคาประเมิน อาคารที่สำนักงานประกันสังคมเข้าไปซื้อในราคา 7,000 ล้านบาทนั้นเป็นราคาประเมิน ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ว่าตัวเลข 3,000 ล้านบาท มาจากการประเมินมูลค่าของบริษัท ซึ่งประกันสังคมไม่ได้ไปซื้อตึกโดยตรงแต่ซื้อบริษัทที่ถือกรรมสิทธิ์อาคารนี้ ซึ่งมีการประเมินราคาสินทรัพย์ของบริษัทดังกล่าว ก่อนจะเข้าซื้อก็อยู่ที่ 3 พันกว่าล้านบาท แต่จริงๆ แล้วตนยังพูดไม่หมด การเข้าซื้อบริษัทนี้ไม่ได้ซื้อเพียงแค่อสังหาริมทรัพย์ เฉพาะอาคาร SKYY 9 เท่านั้น แต่บริษัทนี้ยังมีหนี้ 2,080 ล้านบาทด้วย เท่ากับเป็นการเข้าซื้อบริษัทแห่งนี้พร้อมตึกพร้อมหนี้ ถ้าอยากได้อาคารจริงๆ ทำไมไม่ซื้อแค่อาคาร ทำไมถึงซื้อพร้อมบริษัท เรื่องนี้ขอฝากถามไปยังนายสุชาติ ชมกลิ่น และสอบถามไปยังนายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงานในฐานะอดีตเลขาธิการประกันสังคม ว่าเป็นการซื้ออาคารไม่พอแต่ยังซื้ออาคารพร้อมหนี้มาด้วย หนักกว่าเดิมอีก

เมื่อถามว่าราคาประเมิน 3 พันล้านบาทเป็นราคาประเมินก่อนเข้าซื้อ ไม่ใช่ราคาประเมินในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งใช่หรือไม่ นายสหัสวัต กล่าวว่า มีอยู่ในเอกสารประเมินสินทรัพย์ของบริษัทที่เราจะไปซื้อ

เมื่อถามว่า วันนี้หวังว่าจะได้รับคำชี้แจงจากทางสำนักงานประกันสังคมหรือไม่ น.ส.รักชนก กล่าวว่า หมายถึงใคร หมายถึงนายสุชาติ หรือนายบุญสงค์ วันนี้หลังการประชุมบอร์ด สปส. นายบุญสงค์ก็จะลงมาฝากสอบถามด้วย แต่ต้องเร็วนิดนึงเพราะนายบุญสงค์เดินเร็ว ส่วนพวกเราสแตนด์บายรออยู่แล้วต้องให้คิวคนที่สัมภาษณ์ยากก่อน และวันนี้ (11 มี.ค.) ช่วง 4 โมงเย็นจะไปยื่นหนังสือให้นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน เพื่อสอบข้อเท็จจริงกรณีต่างๆ ที่มีการออกมาเปิดเผย ในระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งกรณี เว็บ App 850 ล้านบาท รวมถึงกรณีการใช้งบประมาณอย่างไม่โปร่งใสต่างๆ และการไม่เปิดเผยเอกสารของสำนักงานประกันสังคม รวมถึงเรื่องที่สำคัญมากอย่างการเข้าซื้ออาคาร ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เกิดในสมัยนายพิพัฒน์เป็นรัฐมนตรี แต่ก็เป็นความรับผิดชอบของรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง

“เมื่อท่านเข้ามาแล้วเห็นความไม่ชอบมาพากล เห็นการกระทำที่ส่อทุจริต การกระทำที่ไม่ตรงไปตรงมา ไม่โปร่งใส ก็เป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องปัดกวาดเช็ดถูเอาสิ่งปฏิกูลออกจากประกันสังคม ไม่มีโอกาสไหนที่ดีเท่านี้แล้ว เพราะดิฉันได้ชงเข้มมาก จึงเป็นโอกาสอันดีหากท่านมีความตั้งใจ อยากจะทำให้ประกันสังคมดีขึ้น เชื่อว่ามีคนเชียร์ท่านแน่ๆ ในการตั้งกรรมการสอบ ข้าราชการและบุคคลที่เกี่ยวข้อง และในตอนนี้ พรรคการเมืองที่อดีตเคยเป็นเจ้ากระทรวงแรงงาน ก็ไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว ดังนั้นในการดำเนินคดี ดำเนินการตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่หรือยื่นเรื่องไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ต่างๆ ก็สามารถทำได้ ขอเรียกร้องความจริงใจจากท่าน โอกาสนี้เป็นโอกาสที่ดีมากๆ ที่ท่านจะได้แสดงความจริงใจ ไม่ใช่พูดแค่ปากว่าอยากจะทำนั่นทำนี่ ถ้าท่านทำสิ่งนี้ผู้ประกันตนจะแซ่ซ้องสรรเสริญ ไปชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่ถ้าวันหนึ่ง สิ่งที่ท่านพูดมากับการกระทำของท่านไม่สอดคล้องกันไม่ตรงกัน ท่านก็อาจจะโชคร้ายเป็นรัฐมนตรีอีกคน ที่ต้องโดนคนด่าสาปแช่ง ไปชั่วกัลปาวสานเช่นกันท่านก็เลือกได้ว่าอยากจะเป็นรัฐมนตรีฮีโร่หรืออยากจะเป็นอย่างคนก่อน” น.ส.รักชนก กล่าว 

เมื่อถามว่านายสุชาติกล่าวด้วยว่าคนที่มาพูดไม่มีความรู้เรื่องการลงทุน น.ส.รัชนก ร้องโอ้ย ก่อนกล่าวว่า ตนไม่มีความรู้เรื่องการลงทุนแต่ขอให้ผู้เชี่ยวชาญทั่วประเทศออกมาพูดว่าในกรณีนี้ในสายตาของคนที่มีความเชี่ยวชาญเห็นเป็นอย่างไร ตนไม่ต้องพูดก็ได้และท่านไม่ต้องเชื่อก็ได้แต่ให้ท่านลงไปดูในรายละเอียดข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรจะทำให้ทางสังคมเดินหน้าไปด้วยกัน ทั้งนี้ตนคิดว่าวิญญูชนที่มีสติสัมปชัญญะ ไม่มีใครยอมควักเงินในราคา 7,000 ล้านบาท เพื่อซื้อของในราคา 3,000 ล้านบาท แถมมีหนี้มาอีก แต่หากท่านคิดว่ามันคุ้มขนาดนั้นก็ควักเงินตัวเองออกมาซื้อตึกเองในวันนี้เลยดีหรือไม่ ถ้าบอกว่าในอนาคตจะกำไร 20,000 ล้านบาท แล้วมาเอาเงินผู้ประกันตนซื้อทำไม ส่วนประเด็นที่ระบุว่า นายสุชาติระบุว่ามีอำนาจอะไรในบอร์ด แน่นอนว่าท่านไม่ได้มีอำนาจในการเข้าไปนั่งในบอร์ดแต่คุณเป็นรัฐมนตรีจะไม่มีปัญญาออกนโยบายให้บอร์ดสัดส่วนข้าราชการไปทำงานเลยอย่างนั้นหรือ ซึ่งปัจจุบันบอร์ดมาจากการเลือกตั้ง 3 ฝ่าย แต่ในยุครัฐประหารมีคำสั่งมาตรา 44 ในการแต่งตั้ง 100% และในยุคของนายสุชาติเองก็ไม่ได้เป็นบอร์ดที่มาจากการเลือกตั้งทางตรง ตนเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าท่านสามารถคุมเสียงในบอร์ดได้เป็นอย่างดี

นายสหัสวัต กล่าวว่า บอร์ดในยุคนายสุชาติเป็นรัฐมนตรีนั้นมาจากการแต่งตั้ง หลายคนเป็นที่ปรึกษาของนายสุชาติเองและจะมาบอกว่าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้จริงๆ หรือ จำคนของตัวเองไม่ได้หรือ คนที่ชื่อว่า “นายรู” เข้าประกันสังคมตั้งแต่ ปี 2564 ด้วยซ้ำ และมีหนังสือแต่งตั้งย้อนหลังในปี 2565 ขอถามว่าจำไม่ได้จริงๆ หรือ ส่วนที่บอกว่าพวกตนไม่เข้าใจการลงทุนแล้วตัวท่านเข้าใจจริงๆ หรือ กองทุนลักษณะแบบเดียวกับประกันสังคมทั่วโลก หากจะเริ่มลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เขาไม่ลงเอง แต่จะไปร่วมกับกองทุนอื่นเป็นการกระจายความเสี่ยง เพื่อหวังผลกำไร แต่อยู่ดีๆ ในยุคของท่านไปเอาความมั่นใจมาจากไหนก็ไม่รู้ไปลงทุนแล้วกะว่าบริหารเองได้ แต่ก็ตามที่เราเห็นคือไม่รอด ขาดทุน แล้วท่านมั่นใจว่าการลงทุนสรุปแล้วท่านมั่นใจจริงๆ หรือว่ามีความรู้เรื่องการลงทุนออกมาพูดเป็นฉากๆ ที่บอกว่าไม่สามารถแทรกแซงได้แต่ที่ออกมาพูดตอบโต้ก็เล่าละเอียดเรื่องกองทรัสต์

“ถ้าสื่อมวลชนจัดรายการแล้วจะให้ผมไปพูดต่อหน้านายสุชาติ ผมก็พร้อม ย้ำคนชลบุรีรู้ดีว่านายสุชาติเป็นอย่างไร  ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปแข่งขันทางการเมืองกับนายสุชาติ เพราะธุรกิจที่เขาทำตนคงไม่มีศักยภาพทำด้วยอยู่แล้ว” นายสหัสวัต กล่าว และว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการซื้ออาคารและบริหารจัดการมีการเข้ามาสร้างบริหารจัดการแปลกๆ มีการจ่ายค่าบริหารจัดการแบบเหมาจ่ายไม่ใช่เป็นการคิดเปอร์เซ็นต์ที่สามารถจัดหาคนมาเช่าให้ได้

ด้านนายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กทม.พรรคประชาชน กล่าวว่า  คำนวณง่ายๆ โดยมีวิธีการหนึ่งคำนวณจากต้นทุนที่มีการลงทุน คือราคาที่ดินและราคาก่อสร้าง สองคำนวณจากรายได้ดูผลตอบแทนที่มีความเหมาะสมอยู่ที่กี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็อยู่ในกรอบ 3,000 กว่าล้านบาท ส่วนการซื้อถึงราคา 7,000 ล้านบาทนั้นต้องบอกว่าโอกาสที่จะคืนทุนยากมาก

คู่แข่งในตลาดบริเวณนั้นก็เยอะ ทำเลก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น ยิ่งไม่ใช่ตึกสร้างใหม่แต่เป็นตึกเก่าที่นำมารีโนเวท มูลค่าจะมีการคำนวณอีกแบบหนึ่ง ประกอบกับปัญหาอาคารเรื่องความสูง จำนวนลิฟต์ ความนิยมของตึกก็น้อยลง จึงต้องให้เช่าในราคาถูก

เมื่อถามว่าขณะนี้มีการประเมินราคาของตึก ณ ปัจจุบันว่ามีมูลค่าอยู่ที่เท่าไหร่ นายศุภณัฐ กล่าวว่า  ที่จริงเราต้องดูว่าตึกนี้สามารถทำเงินได้เท่าไหร่ ตั้งแต่ตอนที่จะซื้อ ถ้ามันสามารถทำเงินให้มากเราก็ยอมจ่ายมาก แต่ ณ วันนี้ก็เห็นค่าเช่าแค่ 600 บาท ต่อให้ทำอย่างไรก็แล้วแต่ ราคาประเมินก็ต้องประเมินด้วยว่าโอกาสที่จะปล่อยเช่าเต็มในพื้นที่ เต็มที่ก็ 40 ถึง 50% ไม่มีตึกไหนปล่อยเช่าได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะด้วยสภาพและทำเลของมัน ก็ต้องคำนวณย้อนกลับมาเพื่อหาต้นทุนที่เหมาะสม ว่าผลตอบแทนที่เราจะได้รับกลับมาแต่ละปีอยู่ที่เท่าไหร่ ระยะเวลาในการคืนทุนเท่าไหร่ ส่วนตัวก็คิดว่า 3,000 ล้านบาท เป็นตัวเลขที่มีความเหมาะสม  

เมื่อถามย้ำว่า ราคาประเมินมันเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ราคาประเมินเพิ่มขึ้นหรือไม่ นายสหัสวัต กล่าวว่า ก็ขอให้นายสุชาติเป็นคนมาซื้อแล้วกัน

เมื่อถามว่าเรื่องนี้จะมีการยกขึ้นไปอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่กำลังจะถึงนี้หรือไม่ นายสหัสวัต กล่าวว่า เรื่องอภิปรายไม่ไว้วางใจน่าจะพีคกว่านี้ อันนี้เป็นแค่ตัวตัวอย่างหนัง ขอให้รอลุ้นตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าเขาจะให้เวลาในการอภิปรายกับเรากี่วัน  ถ้าให้เราห้าวันก็พูดได้ทั้งห้าวัน.