เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 68 นายแพทย์เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา คุณหมออารมณ์ดีเจ้าของเพจ “หมอเจด” ออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ โดยระบุว่า หายจากเบาหวานแล้ว? แต่ต้องรู้ 5 ข้อนี้ เพื่อให้ชีวิตดีตลอดไป! พร้อมกับอธิบายว่า
1.“หาย” ไม่ได้แปลว่าจบเกม
หลายคนเข้าใจผิดว่า เมื่อคุมระดับน้ำตาลได้ดี หรือผลตรวจกลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ เท่ากับว่าตัวเอง “หายขาด” แล้ว แต่จริงๆ แล้ว เบาหวานเป็นโรคที่เฝ้าระวังตลอดชีวิต
หากคุณสามารถลดน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ เพราะปรับพฤติกรรมการกิน ออกกำลังกาย และลดน้ำหนัก แปลว่าคุณอยู่ในภาวะ “เบาหวานระยะสงบ” (Diabetes Remission) แต่ไม่ได้หมายความว่าหายขาด
ถ้าคุณกลับไปกินแป้งและน้ำตาลแบบเดิม หรือละเลยการดูแลตัวเอง โรคสามารถกลับมาได้เร็วขึ้น และอาจควบคุมยากกว่าเดิม
“การดูแลตัวเองให้ดีต่อเนื่องสำคัญกว่าการรักษาให้หายชั่วคราว”
2.เช็กสุขภาพเป็นนิสัย ไม่ใช่แค่ตอนป่วย
ถึงแม้ระดับน้ำตาลจะอยู่ในเกณฑ์ปกติแล้ว แต่อวัยวะภายใน เช่น ตับ ตับอ่อน หลอดเลือด ไต อาจยังได้รับผลกระทบจากภาวะดื้อต่ออินซูลินในอดีต
การตรวจสุขภาพเป็นประจำช่วยให้คุณรู้ทันก่อนสายเกินไป อย่ารอให้มีอาการแล้วค่อยไปพบหมอ
ควรตรวจอะไรบ้าง?
•ระดับน้ำตาลในเลือด (FBS, HbA1c) ทุก 3-6 เดือน
•ระดับไขมันในเลือด (LDL, HDL, Triglyceride) ปีละครั้ง
•ตรวจไต (eGFR, Albuminuria) ปีละครั้ง
•ตรวจภาวะแทรกซ้อนทางตาและปลายประสาท
“การเช็กสุขภาพเป็นการลงทุน ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย”
3.อย่าลืมดูแล “ทีมโรค” ทั้งหมด
คนที่เป็นเบาหวานมักมี “โรคพ่วง” หรือ “โรคร่วม” (Comorbidities) ที่อันตรายไม่แพ้กัน เช่น
•ความดันโลหิตสูง
•ไขมันในเลือดสูง
•โรคหัวใจและหลอดเลือด
ภาวะไขมันพอกตับ (NAFLD)
การโฟกัสแค่ค่าน้ำตาล แต่ปล่อยให้ไขมันหรือความดันสูงเกินไป สุดท้ายความเสี่ยงโรคหัวใจและไตเสื่อมก็ยังสูงอยู่
ปรับพฤติกรรมให้ครอบคลุมทุกมิติของสุขภาพ ได้แก่
•ควบคุมอาหาร ไม่ใช่แค่คาร์บต่ำ แต่ต้อง เน้นไขมันดี และหลีกเลี่ยงน้ำมันพืชที่ก่อการอักเสบ
•นอนหลับให้เพียงพอ เพราะการอดนอนส่งผลให้ดื้อต่ออินซูลิน
•จัดการความเครียด เพราะความเครียดทำให้ฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น ซึ่งกระตุ้นการเพิ่มขึ้นของน้ำตาลในเลือด
“สุขภาพที่ดีต้องดูทั้งระบบ ไม่ใช่แค่ตัวเลขน้ำตาลในเลือด”
4.“เบาหวานระยะสงบ” ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน
ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถลดน้ำตาลลงมาได้โดยไม่ใช้ยา เพราะเบาหวานมีหลายประเภท
•เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes): เกิดจากภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์ตับอ่อน คนกลุ่มนี้ต้องใช้อินซูลินตลอดชีวิต
•เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes): พบมากที่สุด มักเกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลินและสามารถกลับสู่ภาวะปกติได้
•เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes): เกิดขึ้นเฉพาะช่วงตั้งครรภ์ และบางคนอาจเสี่ยงเป็นเบาหวานถาวรหลังคลอด
ถ้าคุณเป็น เบาหวานชนิดที่ 2 และสามารถปรับพฤติกรรม จนไม่ต้องใช้ยา ถือว่าเป็นเรื่องดีมาก!
แต่ต้องระวังอย่าชะล่าใจ เพราะร่างกายยังมีความเสี่ยงต่อภาวะดื้อต่ออินซูลินอยู่เสมอ
“ไม่ต้องแข่งกับใคร แค่ใช้ชีวิตให้ดีขึ้นกว่าตัวเองเมื่อวานก็พอ”
5.อย่าฝันลมๆ แล้งๆ “กินอะไรก็ได้” เพราะไม่จริง!
บางคนเข้าใจผิดว่า “หายจากเบาหวานแล้ว” แปลว่า กลับไปกินอาหารแบบไหนก็ได้ ความจริงคือ การกลับไปกินอาหารแบบเดิมคือการเชิญโรคกลับมาอย่างเป็นทางการ
อาหารที่ควรเลี่ยงตลอดไป
•น้ำตาล น้ำหวาน ขนมปังขาว แป้งขัดสี
•น้ำมันพืชอุตสาหกรรม (เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม)
•อาหารแปรรูป เครื่องดื่มที่มีสารให้ความหวานเทียม
อาหารที่ควรกินเป็นหลัก
•โปรตีนคุณภาพดี: เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว เต้าหู้
•ไขมันดี: น้ำมันมะกอก น้ำมันอะโวคาโด น้ำมันมะพร้าว
•ผักใบเขียว: เส้นใยช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล
“คุณไม่ได้อดอาหาร คุณกำลังเลือกกินเพื่อชีวิตที่ดีกว่า”
ถ้าคิดว่าคุณ “ชนะ” เบาหวานแล้ว ถ้าหย่อนวินัย มันพร้อมคัมแบ๊ก!
ดูแลตัวเองต่อเนื่อง = สุขภาพดีระยะยาว ไม่ต้องกังวลว่าต้องกลับมาใช้ยาอีก
สุขภาพที่ดีขึ้นอยู่กับพฤติกรรมที่ทำเป็นประจำ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงชั่วคราว