จากกรณี นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สั่งปิดไม่มีกำหนดป่าสลักพระ เตือนมือเผาป่าโทษหนักคุก 20 ปี ปรับ 2 ล้าน บวกค่าฟื้นฟูไร่ละ 1.2 แสนบาท โดยเงินค่าเสียหายนี้ จะนำไปใช้ในการฟื้นฟูสภาพป่าและระบบนิเวศที่ถูกทำลาย ทั้งนี้เมื่อพื้นที่ป่าเสียหายอย่างหนักจำเป็นต้องฟื้นฟูพื้นที่ เพราะจะกระทบแหล่งอาหารของช้างป่ารวมถึงสัตว์ป่าชนิดอื่นๆ ทำให้ช้างป่าและสัตว์ป่าออกนอกป่ามากขึ้น
อีกทั้ง พื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่เกิดไฟป่าสูงสุดของประเทศไทย โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีการดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับการเผาป่าแล้ว จำนวน 39 คดี มีผู้ต้องหา 10 คน และมีพื้นที่เสียหายกว่า 2,182 ไร่ ตามที่ข่าวเสนอไปก่อนหน้านี้
อธิบดีอุทยานฯสั่งปิดไม่มีกำหนด ‘ป่าสลักพระ’ เตือนมือเผาป่าโทษหนักคุก 20 ปี ปรับ 2 ล้าน

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้ใช้เพจเฟซบุ๊ก “ฝ่าฝุ่น” ได้ออกมาอธิบายถึงประเด็นดังกล่าว พร้อมระบุข้อความว่า “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ป่าอนุรักษ์ที่กำลังเรียกร้องความเป็นธรรม ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มผู้บุกรุกที่กล่าวหาว่า “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ” กำลังรังแกชาวบ้าน หลังจากกรมอุทยานฯ ได้ตัดสินใจปิดพื้นที่ถาวรตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2568 ห้ามเข้าไปเก็บหาของป่าทุกกรณี ด้วยเหตุผลว่าป่าแห่งนี้มีจุดความร้อนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 50% โดยมาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ป่าฟื้นตัว แต่กลับถูกตั้งคำถามจากบางฝ่าย”

สำหรับข้อมูลโดย “ตามไฟ” tamfire.net ชี้ให้เห็นว่า “ขสป. สลักพระ” เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากตั้งแต่ช่วงหลังโควิด-19 คาดกันว่าโควิด-19 เกิดการอพยบของกลุ่มชาติพันธุ์เข้ามาในพื้นที่ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไฟป่าอย่างทันทีทันใด โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา พื้นที่จุดความร้อนพุ่งสูงขึ้นอย่างผิดปกติ จากเดิมที่อยู่ในระดับไม่กี่หมื่นไร่ กลายเป็นมากกว่าแสนไร่ ส่งผลให้คลัสเตอร์ไฟป่ารอบเขื่อนศรีนครินทร์ซี่งมี “ขสป.สลักพระ” เป็นส่วนประกอบสำคัญกลายเป็นพื้นที่ที่เกิดไฟป่ามากที่สุดในประเทศไทยนับแต่ 2566 เป็นต้นมา”
ต่อมา “ในปี 2567 ฝ่ายนโยบายโดยรัฐบาลและกรมอุทยานฯ พยายามลดไฟป่าในพื้นที่อนุรักษ์ลง แต่ “ขสป. สลักพระ” กลับกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เกิดไฟป่าเพิ่มขึ้นมากที่สุด สวนทางกับนโยบายอย่างชัดเจน และในปีนี้พื้นที่เผาไหม้ในคลัสเตอร์เขื่อนศรีนครินทร์ ยังคงครองสถิติอันดับหนึ่งของประเทศ โดย “ขสป. สลักพระ” มีบทบาทสำคัญในปรากฏการณ์นี้ แนวโน้มเดียวกันยังคงดำเนินต่อไปในปี 2568 จุดความร้อนรวมถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ แตะระดับแสนไร่อย่างต่อเนื่อง นับถึงปัจจุบัน “ขสป.สลักพระ” มีปริมาณจุดความร้อนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ นำป่าอนุรักษ์อื่นๆ ทั้งหมดเกือบสองเท่า”

อีกทั้ง “ภาพที่เกิดขึ้นจากเฟซบุ๊กของกรมอุทยาน เริ่มสะท้อนให้เห็นว่าปริมาณ “ของป่า” ที่ถูกนำออกไปนั้นเกินกว่าการใช้ เพื่อยังชีพตามวิถีชาวบ้าน หากแต่เป็นการลักลอบเก็บเกี่ยวในเชิงพาณิชย์ ซึ่งส่งผลเสียต่อป่าอย่างรุนแรงในด้านการทำลายป่า หรือ deforestration แม้ว่าต้นรวกเหล่านี้อาจจะมองว่าเป็นพืชพันธุ์หญ้าขนิดหนึ่ง (ไผ่ก็เป็นหญ้าชนิดหนึ่ง) แต่การตัดป่ารวกเหล่านี้มากเกิน ย่อมจะทำให้ป่านั้นเสื่อมโทรมลดความสมบูรณ์ลง”
โดย “หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป “ขสป.สลักพระ” จะถูกทำลายจนกลายเป็นพื้นที่เสื่อมโทรม และจะเกิดไฟป่ามากขึ้นเรื่อยๆ การปิดพื้นที่เพื่อฟื้นฟูป่ากลายเป็นมาตรการที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป ทั้งนี้ มิใช่การรังแกชาวบ้านตามธุระปกติ แต่เป็นการป้องกันชาวบ้านเชิงพาณิชย์ ตอแยรังแกทำลายป่าจนสูญเสียความยั่งยืน”

นอกจากนี้ “ในมุมของมลพิษทางอากาศนั้น “ขสป. สลักพระ” อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 130 กม. ทั้งนี้ “NASA” ระบุว่า กรุงเทพฯ มีปริมาณสารอินทรีย์ระเหย (VOC) จากการเผาพืชและไฟป่าสูงมาก ใกล้เคียงกับ VOC ที่มาจากการจราจรและอุตสาหกรรมทีเดียว ข้อมูลเหล่านี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการลดไฟป่าใน “ขสป. สลักพระ” เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม และลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน เราเข้าใจและสนับสนุนความจำเป็นของกรมอุทยานฯในการปิดพื้นที่ป่า ขสป.สลักพระ อย่างถาวร จนกว่าป่าจะฟื้นตัว”

อย่างไรก็ตาม “เนื่องจากป่ามิได้ลุกไหม้ทุกตารางนิ้วภายในกองไฟ พื้นที่จุดความร้อนนี้จะมากกว่าพื้นที่เผาไหม้เสมอ (อาจจะมากกว่าถึงสองเท่า) แต่จุดเด่น คือ สามารถคำนวณได้รวดเร็วและทันสมัยระดับรายวัน แทนที่จะต้องรอประเมินพื้นที่เผาไหม้ซึ่งใช้เวลาระดับเดือน” นายอรรถพล กล่าว
ขอบคุณข้อมูล : นายอรรถพล เจริญชันษา