จากกรณีชาวบ้าน อ.บางขัน จ.นครศรีธรรมราช ร้องเรียนและโพสต์ภาพ/ข้อความในโซเชียล เรียกร้องความคืบหน้าการตรวจสอบบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ “บ้านน้ำนิ่ง” หมู่ 5 ต.ลำนาว อ.บางขัน 2 แปลง รวมกว่า 268 ไร่ ตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ. 2568 สอบสวนขยายผลถึงไหน จับกุมผู้บุกรุกได้หรือไม่ หรือเรื่องจะเงียบหายเหมือนทุกครั้ง จนป่าใน อ.บางขัน กลายเป็นภูเขาหัวโล้น ตกเป็นของผู้มีอำนาจและนายทุน ในขณะที่ชาวบ้านยากจนกลับถูกจับกุมดำเนินคดี

เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2568 นายสมเกียรติ รัตนบุรี กำนัน ต.ลำนาว อ.บางขัน เปิดเผยว่า ตนไม่เห็นด้วยและต่อต้านการบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า ยึดครองทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งเป็นป่าต้นน้ำ โดยล่าสุดคณะพนักงานสอบสวนจาก ป.ป.ช.ภาค 8, ป.ป.ช.นครศรีธรรมราช, ตำรวจ สภ.บางขัน และสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 12 ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่เพื่อบันทึกหลักฐาน สืบสวนไปหากลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ เนื่องจากพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐอย่างน้อย 3 หน่วยงานเกี่ยวข้องเอื้อให้มีการบุกรุก

สำหรับการจับกุมแปลงล่าสุด 173 ไร่เศษ ตร.-ป.ป.ช.-ป่าไม้ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ พร้อมเรียกผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งมาสอบสวนเอาผิดตามกฎหมายแล้ว ผลการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า พื้นที่แปลงที่ถูกบุกรุกล่าสุดอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าหน้าไซ-ป่านาปู หมู่ 5 บ้านน้ำนิ่ง ต.ลำนาว อ.บางขัน ถูกบุกรุกแผ้วถาง ตัดโค่นไม้จำนวนมาก เนื้อที่ 174 ไร่ เป็นป่าสมบูรณ์ มีการปลูกปาล์มน้ำมัน 623 ต้น ยึดไม้ซุง 81 ท่อน ไม้เนื้อแข็ง 166.26 ลบ.ม. มูลค่ากว่า 1.8 ล้านบาท ยึดรถแบ๊กโฮ 1 คัน ของรองนายก อบต.แห่งหนึ่ง แต่ผู้ต้องหาหลบหนีไปได้

นอกจากนี้ ยังพบว่ามีนักการเมืองท้องถิ่น-ผู้บริหารท้องถิ่นจากนครศรีธรรมราช และจังหวัดใกล้เคียง ร่วมแสวงหาประโยชน์นำเครื่องจักรไปรับจ้าง ประสานงานนำไม้ซุงส่งขายโรงเลื่อยในสุราษฎร์ธานีและชุมพร ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลังเป็นนายทุนระดับมหาเศรษฐีในแวดวงสังคม นครศรีธรรมราช และกระบี่ ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้ปักป้ายตรวจยึด “พื้นที่แปลงตรวจยึดดำเนินคดี ตามกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ เนื้อที่ 173-1-62 ไร่” พบเห็นการกระทำผิดแจ้ง หน.ป้องกันรักษาป่าที่ นศ.6 (บางขัน) โทร.0640653535

แกนนำชาวบ้าน กล่าวว่า การบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติใน ต.ลำเนา อ.บางขัน มีมานานแล้ว มีการลำเลียงไม้ซุงยักษ์ โดยมีผู้ใหญ่บ้านและเจ้าหน้าที่รัฐเซ็นกำกับไม้ทุกท่อน เป็นใบเบิกทางไปโรงเลื่อยในสุราษฎร์ธานีและชุมพร ส่วนพื้นที่บุกรุกจะไถปรับปลูกยางพารา ทุเรียน และปาล์มน้ำมัน

“อยากให้รัฐบาลสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกและยึดคืนทุกแปลง ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาดจริงจัง ก่อนหน้านี้ก็มีการจับกุมหลายแปลง แต่เรื่องก็เงียบหาย ผ่านไป 1-2 ปี พบพื้นที่ปลูกทุเรียน ยางพารา หรือปาล์มต้นใหญ่แล้ว เป็นแบบนี้มาโดยตลอด อาทิ แปลง 95 ไร่ ของอดีตผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งใน ต.ลำนาว ที่เกษียณอายุ และปัจจุบันลูกสาวเป็นผู้ใหญ่บ้านแทน โดนจับก่อนแปลง 163 ไร่ แต่เรื่องเงียบ ไม่มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาตรวจยึดปักป้ายเหมือนแปลง 173 ไร่ ตอนนี้ผู้ใหญ่บ้านและอดีตผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นพ่อปลูกปาล์มเต็มพื้นที่แล้ว” แกนนำชาวบ้านกล่าว