สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 7 มี.ค. ว่า นางแคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวถึงรายงานของสื่อหลายแห่ง ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร ให้ยุบกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐ “ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด”
ทั้งนี้ รายงานของสื่อหลายแห่งที่มีการการเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ เป็นไปในทางเดียวกัน ว่าผู้นำสหรัฐเตรียมสั่งให้นางลินดา แมคแมน รมว.ศึกษาธิการ จัดการยุติการดำเนินงานของกระทรวง “โดยใช้อำนาจทั้งหมดที่มีอยู่ภายใต้กฎหมาย”
????More Fake News! President Trump is NOT signing an Executive Order on the Department of Education today. https://t.co/oicgkJw3uI
— Karoline Leavitt (@PressSec) March 6, 2025
ขณะที่แหล่งข่าวหลายคนให้ข้อมูลไปในทางเดียวกัน ว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนแสดงความวิตกกังวล ว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อโครงการอาหารกลางวันฟรีในโรงเรียน และโครงการเพื่อสวัสดิการของนักเรียนในโรงเรียนรัฐอีกหลายโครงการ ที่อาจต้องปิดตัวตามไปด้วย
ด้านแมคแมนกล่าวถึงเรื่องนี้เพียงว่า “ภารกิจสำคัญที่สุดของเธอ” คือ “การปฏิรูปครั้งประวัติศาสตร์” เพื่อฟื้นฟูระบบการศึกษาของสหรัฐ และ “ลดขั้นตอนยุ่งยากทั้งหมด” โดยรวมถึงการส่งมอบอำนาจในการบริหารนโยบายการศึกษา กลับคืนสู่แต่ละรัฐ และส่งเสริมสิทธิของผู้ปกครอง ในการที่จะให้บุตรหลานของตัวเองเข้าถึงระบบการศึกษาที่ยอดเยี่ยม
PRESIDENT TRUMP: The Department of Education is a big con job… we spend more per pupil than any other country in the world, but we're ranked 40th. That means something's really wrong, right? I say send it back to the states. pic.twitter.com/AE3TxODP0t
— Rapid Response 47 (@RapidResponse47) February 12, 2025
เมื่อไม่นานมานี้ ทรัมป์กล่าวถึงกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐ เป็นหน่วยงานที่ “หลอกลวง” และไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานให้ได้ตามเป้าหมาย เพราะการศึกษาของสหรัฐอยู่ในอันดับที่ 40 ของโลก ตามผลการสำรวจจากหน่วยงานหลายแห่ง แต่เมื่อพูดถึงเรื่องค่าใช้จ่าย การศึกษาของสหรัฐกลับแพงที่สุดในโลก
ทรัมป์กล่าวด้วยว่า ยิ่งไปกว่านั้น ระบบการศึกษาของจีนมีคุณภาพดีกว่าของสหรัฐมาก คืออยู่ในกลุ่ม 5 อันดับแรกของโลก ยิ่งบ่งชี้ชัดว่า กระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐไร้คุณภาพ และสมควรถูกปิด “ทันที” แล้วกระจายงบประมาณที่เกี่ยวข้อง ไปให้แต่ละรัฐบริหารจัดการกันเอง.
เครดิตภาพ : AFP