เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 มี.ค. 68 ที่ กระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะผู้นำกลุ่ม สว.สำรอง เดินทางมาให้กำลังใจในการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) พิจารณาการฮั้วเลือก สว.67 เป็นคดีพิเศษ
พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะผู้นำกลุ่ม สว.สำรอง กล่าวว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าครั้งหนึ่งมีการพิจารณาในคดีอั้งยี่ ซ่องโจร ยุยงให้ประชาชนทำผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกฮั้ว สว. ที่เกิดจากการกระทำผิดของคนกลุ่มหนึ่งที่มีการวางตั้งแต่ต้น ทำให้ได้ สว. มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งตนในฐานะที่เป็น สว.สำรอง พบเห็นกระบวนการฮั้วใช้โพยในการเลือกตั้ง ตั้งแต่วันแรกที่มีการเลือกในระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ ยิ่งวันที่ 26-27 มิ.ย. 67 ที่เป็นการเลือก สว.ระดับประเทศ ที่เมืองทองธานี ตนพบเห็นมีการใช้โพย และคะแนนแต่ละกลุ่มออกมาผิดปกติ ยังพบโพยที่ถูกใช้แล้วทิ้งไว้ และมีการมาเผยแพร่ในไลน์ ซึ่งตนได้นำโพยมาเปรียบเทียบคะแนนและสืบสวนไปยังพบโพยอื่นอีก รวม 4 โพย ซึ่งโพยเหล่านั้นมีผลคะแนนตรงกับคะแนนสูงสุดของทุกกลุ่ม ซึ่งตนก็ได้นำข้อมูลผู้ที่ทำโพย ผู้ที่ถูกชักจูง ผู้ที่เต็มใจ และผู้ที่ถูกหลอกร่วมทำโพยดังกล่าวส่งให้ กกต. ในการดำเนินการสอบสวนตามกฎหมาย กกต. ซึ่งตนได้ร้องเรียนไปตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย. 67 หลังการเลือกตั้งเพียง 1 วัน ซึ่งทาง กกต. ก็อยู่ระหว่างการสอบสวน แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจน

พล.ต.ท.คำรบ กล่าวอีกว่า ทาง สว.สำรอง มองเห็นว่าพฤติกรรมแบบนี้เข้าข่ายความผิดอาญาข้อหา อั้งยี่ และความผิดด้านความมั่นคง ซึ่งได้มาร้องที่ดีเอสไอไว้แล้ว และตนได้ไปสืบทราบมาว่าเครือข่ายดังกล่าวเชื่อมโยงไปถึงระดับประเทศ ที่มีการวางแผนบงการการฮั้วเลือก สว.
เมื่อถามว่ามั่นใจในการประชุมของคณะกรรมการคดีพิเศษหรือไม่ หลังจากที่มีกระแสข่าวมีการเข้าพบกันของผู้ใหญ่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้านั้น พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า ตนให้เกียรติคณะกรรมการฯ ทุกท่าน เชื่อมั่นว่ากรรมการทุกท่านจะใช้ความรู้ความสามารถในการทำหน้าที่นี้อย่างตรงไปตรงมา และมั่นใจในข้อมูลที่ให้ไปกับทางดีเอสไอ และเชื่อว่าข้อมูลที่ให้ไปมีมูลเพียงพอที่จะสามารถเปิดคดีได้ และดีเอสไอคงเห็นแนวทางจึงขอให้มีการประชุมพิจารณาคดีพิเศษ ส่วนที่มีการไปตกลงกันหรือไม่นั้น ตนไม่รับรู้ว่าเป็นเรื่องการเมืองอะไร เพราะพวกตนเริ่มต้นจากต้องการให้เป็นไปตามกฎหมายเพราะว่ามีคนกระทำผิดจึงไปร้องทุกข์ ส่วนผลจะออกมาเป็นบวกหรือลบ ใครจะได้ประโยชน์ตนไม่ทราบ ส่วนจะเป็นเกมต่อรองอะไร ตนว่าคดีนี้ไม่ใช่ยักยอกทรัพย์ที่จะต่อรองกันได้ เมื่อมาถึงขนาดนี้ก็จะเดินให้สุดทาง.