สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 มี.ค. ว่า นางแคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พบหารือกับผู้บริหารของบริษัทฟอร์ด เจเนอรัล มอเตอร์ส และสเตลแลนทิส ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญ ตามกรอบข้อตกลงการค้าเสรี สหรัฐ-เม็กซิโก-แคนาดา หรือ ยูเอสเอ็มซีเอ ผู้นำสหรัฐมอบข้อยกเว้นภาษีให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นเวลา 1 เดือน จากวันที่ 4 มี.ค. เพื่อไม่ให้ภาคส่วนสำคัญดังกล่าว ได้รับผลกระทบมาก


อย่างไรก็ตาม เลวิตต์ยืนยันว่า การผ่อนผันดังกล่าวไม่ได้หมายความว่า จะเป็นการยกเลิกกำแพงภาษี 25% เนื่องจากทรัมป์ต้องการให้ผู้ผลิตยานยนต์ทุกแห่งใช้ช่วงเวลานี้ ย้ายฐานการผลิตจากต่างประเทศกลับเข้ามาในอเมริกา และเลวิตต์เน้นย้ำว่า มาตรการภาษีตอบโต้จะยังคงมีผล ในวันที่ 2 เม.ย.


ขณะที่นายดัก ฟอร์ด มุขมนตรีรัฐออนแทรีโอ ทางตอนใต้ของแคนาดา ซึ่งเป็นรัฐที่มีการค้ากับสหรัฐในระดับสูง กล่าวว่า ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ผู้นำแคนาดา และได้ข้อสรุปร่วมกัน ว่าการค้าระหว่างสองประเทศ ไม่ควรมีภาษีแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว


ด้านสมาคมอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์แห่งชาติของเม็กซิโก (ไอเอ็นเอ) ซึ่งมีสมาชิกเป็นโรงงานประกอบชิ้นส่วนยานยนต์มากกว่า 700 แห่งในประเทศ ออกแถลงการณ์ว่า มาตรการกำแพงภาษี 25% ของสหรัฐ จะทำให้ต้นทุนการผลิตรถยนต์สูงขึ้น ซึ่งรวมถึงราคาชิ้นส่วนและอะไหล่ต้องสูงขึ้นเช่นกัน


ทั้งนี้ ไอเอ็นเออธิบายว่า การประกอบรถยนต์ของอเมริกาเหนือ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่าง 3 ประเทศ คือ สหรัฐ แคนาดา และเม็กซิโก โดยต้องมีการลำเลียงชิ้นส่วนเดินทางข้ามพรมแดนสูงสุด 8 รอบ กว่าจะได้รถยนต์คันหนึ่งออกมา

ดังนั้น มาตรการกำแพงภาษีของรัฐบาลทรัมป์ อาจส่งผลให้รถยนต์ที่จำหน่ายในสหรัฐ มีราคาแพงขึ้นเฉลี่ยคันละ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 100,860 บาท).

เครดิตภาพ : AFP