เมื่อวันที่ 5 มี.ค. นายปารมี ไวจงเจริญ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีที่ศาลปกครองสูงสุด สั่งเพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ซึ่งเป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนที่ไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียน ว่า ขอขอบคุณกลุ่มนักเรียนนี้ที่มีความกล้าหาญและยืนหยัดอย่างมั่นคงบนหลักการสิทธิเนื้อตัวร่างกายของเด็ก จนวันนี้ที่ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายกเลิกกฎกระทรวงฉบับนี้ การเลือกรูปแบบทรงผมเป็นสิทธิเนื้อตัวร่างกายของตัวเด็กเอง ที่เขาจะเลือกด้วยตัวของเขาเอง เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กและมนุษย์ทุกคน วันนี้จึงเป็นหมุดหมายสำคัญของการที่สังคมไทยจะได้ตระหนักอย่างยิ่งในสิทธิเนื้อตัวร่างกายของเด็กทุกคนในประเทศนี้
นายปารมี กล่าวต่อว่า ตนขอเรียกร้องไปยังครู ผู้บริหารโรงเรียนและบุคลากรทางการศึกษาทุกคน ขอให้ตระหนักในหลักการสิทธิเนื้อตัวร่างกายของเด็กอย่างเคร่งครัด เพราะถึงแม้ว่าในวันนี้จะมีคำพิพากษานี้ออกมา แต่ในทางปฏิบัติยังมีโรงเรียนและครูอีกหลายคน ตัดผมเด็ก ตามที่เราเห็นในข่าวอยู่เสมอ
“ดิฉันจึงเรียกร้องขอให้โรงเรียนและครูทุกคน ต้องรับฟังความคิดเห็นของนักเรียนทุกคนอย่างรอบด้านในการออกกฎระเบียบของโรงเรียนทุกกฎ รวมถึงขอให้กระทรวงศึกษาธิการ ออกแนวปฏิบัติไปยังทุกโรงเรียน ในการที่ต้องรับฟังความคิดเห็นของนักเรียน รวมถึงกฎระเบียบโรงเรียน ต้องไม่ขัดหลักการสิทธิเนื้อตัวร่างกายของเด็กอีกด้วย” นายปารมี กล่าว
นายปารมี กล่าวว่า ในส่วนที่ผู้ใหญ่บางคนมักจะพูดว่าการไว้ผมทรงนักเรียนนั้น เป็นการปลูกฝังวินัยให้กับเด็ก ตนอยากจะทำความเข้าใจกับท่านว่า การปลูกวินัยมีหลายวิธีที่ทำได้โดยไม่ละเมิดสิทธิเนื้อตัวร่างกายของเด็ก เช่น วินัยในการตรงต่อเวลา วินัยในการต่อแถวเข้าคิว วินัยในการแบ่งเวลาทำงานกับเวลาพักผ่อน รวมถึงการปลูกฝังความรับผิดชอบในหน้าที่ของตน เป็นต้น เหล่านี้ครูและพ่อแม่ผู้ปกครองสามารถปลูกฝังให้กับเด็กได้โดยไม่ละเมิดสิทธิเนื้อตัวร่างกายของเด็ก.